นอกจากจะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง สังเกตจากความชอบของลูกแล้ว การใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่เองก็มีส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นให้ลูกรักการอ่านนะคะ จากผลการวิจัยในบทความก่อนที่แอดมินเอามาลงว่า เด็กที่อ่านหนังสือไม่คล่องตอนประถมสาม มักมีปัญหาต่อเนื่องไปถึงระดับมัธยมปลาย คงจะใช้ไม่ได้กับเด็กที่รักการอ่าน แม้จะมีปัญหาทางกายภาพที่ไม่เอื้ออำนวยแบบลูกสาวของผู้เขียนเรื่องนี้ ดังนั้น มาช่วยกันสร้างนิสัยลูกให้รักการอ่านกันนะคะ
เทคนิคเลี้ยงลูกให้เป็นหนอนหนังสือ
สาวน้อยกำลังขดตัวอยู่บนโซฟาตัวเก่า ดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งตัวอักษร มีทีวีวางอยู่ข้าง ๆ เงียบและมืดดำด้วยความอิจฉา ที่มุมห้อง มีคอมพิวเตอร์ฝุ่นจับอยู่รวมกับเกมส์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับการเหลียวแล
ใครจะคิดว่าเด็กสาวผู้กำลังหลุดเข้าไปในโลกของอังกฤษยุครีเจนซี่ ประพันธ์โดยนักเขียนชื่อก้อง เจน ออสเตน ไม่สามารถอ่านหนังสือได้เลยจนกระทั่งอยู่ประถมห้า ต้องต่อสู้กับอาการปวดหัวและภาพที่ไม่ชัดจากอาการดิสเล็กเซีย (ภาวะผิดปกติของสมองส่วนที่เกี่ยวกับภาษา การอ่าน เขียน สะกดคำ)
ใครจะเชื่อว่าสาวน้อยวัย 12 ปีคนนี้ คนที่อ่านเรื่อง สี่ดรุณี เจนแอร์ อย่างกระหาย และเกือบจะอ่านเรื่องแอนน์ สาวน้อยจอมแก่นแห่งกรีน เกเบิลล์จบแล้วนี้จำอักษรได้ไม่ครบทุกตัวเมื่อตอนอยู่ประถมสาม
แล้วทำไม ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคในการอ่านมากมาย ไหนจะความเห็นอคติทั้งหลายแหล่ที่มีต่อตอนจบของหนังสือ และอยู่ในยุคที่อิเล็คทรอนิคส์กำลังรุ่ง แต่เด็กคนนี้ก็ยังเลือกหนังสือ กระดาษเปื้อนหมึกแสนโบราณในสายตาของบางคน แทนที่จะเลือกเทคโนโลยีที่ชวนให้ลุ่มหลงอย่างอื่น ๆ
ง่ายมาก
เด็กที่รักการอ่านก็จะอ่าน เป็นความจริงที่แสนธรรมดา ว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ มากกว่าจะไปทำในสิ่งที่ถูกบังคับฝืนใจให้ทำ
ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรให้เด็กจับใจในการอ่าน แทนที่จะแค่ฝึกวิธีการอ่านให้พวกเค้า
ลองนึกถึงการขี่จักรยานดู
พ่อของคุณจับคุณนั่งบนจักรยานสีแดงสดใส ช่วยจับจูงและให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม แล้วก็วิ่งไปข้าง ๆ คุณ โดยจับด้านหลังของอานไว้อย่างมั่นคง ช่วยให้คุณพุ่งฉิวไปตามทาง โดยมีลมพลิ้วเส้นผม ขณะที่คุณยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นและตื่นกลัวนิดหน่อย
หรือ
พ่อจับคุณนั่งดูภาพประกอบว่าจักรยานมีชิ้นส่วนอะไรบ้าง ให้คุณท่องแล้วท่องอีก แล้วยังให้เอามาเรียงตามลำดับอักษรด้วย
วิธีสอนแบบไหนที่จะทำให้ได้นักขี่จักรยาน แทนที่จะจำชิ้นส่วนจักรยานได้ แบบไหนที่จะทำให้เกิดความรักในการขี่จักรยาน
แล้วคุณอยากจะให้ลูกเป็นนักอ่าน หรือแค่อยากให้อ่านออก
ถ้าเป้าหมายของคุณคืออยากให้ลูกรักการอ่าน นี่คือตัวอย่างที่อาจช่วยให้คุณเริ่มได้ง่ายขึ้น
1. ให้ลูกเห็นคุณอ่าน! ลูกจะได้เรียนรู้จากการเห็นเราทำมากกว่าฟังเราพูด การได้เห็นหนังสือวางเต็มบ้าน การพยายามเรียกร้องความสนใจจากคุณเวลาที่คุณกำลังดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งตัวอักษร การได้หัวเราะคิกคักเวลาเห็นคุณแอบหยิบหนังสือเล่มโตเข้าห้องน้ำไปด้วย นี่คือสิ่งที่จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อมุมมองของลูก ว่าการอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่น่าพอใจขนาดไหน
2. อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเป็นทารก และให้ลูกมีส่วนร่วมด้วย อย่าให้เป็นแค่คุณพูดอยู่คนเดียว แต่ให้ลูกได้ช่วยเปลี่ยนหน้า (ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าลูกจะอยากเปิดย้อนหลังก็เถอะ) ชี้ไปที่รูป พูดเกี่ยวกับปก หรือปล่อยให้ลูกเคี้ยวหนังสือเล่นนิดหน่อย (หนอนหนังสือของแท้ก็ต้องกินหนังสือสิ)
3. เล่น เล่น เล่น จริง ๆ นะ อย่าเคร่งเครียดกันนักเลยค่ะ เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่น เพราะฉะนั้น เอาชอล์คเขียนถนนออกมา แล้วออกไปเรียนข้างนอก นี่แหล่ะ เป็นวิธีเรียนที่ดีที่สุด คิดหาเกมส์มาเล่น หรือไปดูตาม Pinterest ก็ได้ ถ้าลูกเชื่อมโยงการเล่นตั้งเตตัวอักษรที่เล่นกับแม่ หรือไข่ตัวอักษรที่พ่อแอบเอาไปซ่อนตามพุ่มไม้เข้ากับการอ่านได้ คุณก็ได้เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามเด็กเล่นแล้วล่ะค่ะ
4. ถ้าเด็กไม่รักการอ่าน แปลว่าเค้าอ่านหนังสือผิดเล่ม! หาหนังสือหลากหลายประเภทมาใส่ไว้ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแนวสยองขวัญ นิยายสองสลึง การ์ตูน (ใช่แล้ว การ์ตูน) และนิยายที่มีม้า ปลาวาฬ ดนตรี และศิลปะ สร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการค้นคว้าหาความรู้และการผจญภัยไว้ใกล้ ๆ ตัว ซึ่งจะทำให้การอ่านเป็นส่วนสำคัญที่เด็ก ๆ อยากทำไปตลอดชีวิต (อย่าลืม พลังแห่งป้อมปราการ! สร้างพื้นที่ที่แสนจะเชิญชวนให้อยากเข้าไปนั่งอ่านด้วย)
5. อ้อ แล้วก็ที่ ๆ คุณจะไปด้วย (ตามวิธีการของดร.ซูส) จัดวันไปห้องสมุดประจำเดือน เพื่อไปคืนหนังสือและสำรวจหาเรื่องใหม่ ๆ และน่าตื่นเต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไปแล้วอย่าลืมดูว่ามีปฏิทินกิจกรรมอะไรบ้าง เช่น กิจกรรมนักอ่านพบนักเขียน งานอ่านหนังสือ งานฝีมือ และกลุ่มแม่ ๆ คุณจะต้องแปลกใจว่าระบบห้องสมุดเกือบจะถูกลืมนี้มีอะไรให้ทำเยอะแยะ
6. ร้านหนังสือเล็ก ๆ ก็มักเป็นแหล่งขุมทรัพย์ ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ แต่ละเมืองมักต้องมีร้านหนังสือเล็ก ๆ สักแห่ง 2 แห่งที่พยายามอยู่ให้รอดในสภาพเศรษฐกิจขาลง และความก้าวหน้าของยุคอิเล็กทรอนิคส์ ร้านเล็ก ๆ เหล่านี้มักมีของพิเศษไม่เหมือนใครที่รอการค้นพบอยู่ การช่วยอุดหนุนร้านเหล่านี้นอกจากจะช่วยรักษาธุรกิจพื้นบ้านแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ ได้รู้จักกับความอบอุ่นและสวยงามของผนังที่เต็มไปด้วยหนังสือ เจ้าของร้านที่รู้จักหนังสือทุกเล่มเหมือนเพื่อนเก่าแก่ และบางครั้งยังอาจได้พบนักเขียนที่อยู่แถวนั้นที่คุณไม่รู้จักมาก่อนด้วย
7. การเป็นคนรักการอ่านจะช่วยให้ลูกมีความรู้รอบตัว การบังคับให้อ่านหนังสือในรายการหนังสือต้องอ่านยาวเหยียดนั้น ไม่คุ้มที่จะแลกกับความรักในการอ่านที่จะยืนยาวไปชั่วชีวิต สนับสนุนให้อ่านน่ะใช่ แต่ให้หัวใจของลูก ความสนใจและจินตนาการของลูกพาไป ว่าอยากจะอ่านอะไร พวกข้อมูลที่ต้องใช้ในการสอบน่ะ หาในกูเกิลเอาก็ได้ ความหลงใหลในการอ่านน่ะมีอยู่แต่ในหัวใจของเด็กเท่านั้น
8. วิธีการเลี้ยงลูกก็สำคัญนะคะ วิธีการสอนลูกส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อถือและไว้วางใจของลูก ความรักในการเรียนรู้จะเติบโตขึ้นได้เมื่อไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความกลัวและความเครียด พ่อแม่ที่เสริมสร้างให้เกิดความผูกพันที่ดีต่อกัน ก็จะเสริมสร้างความรักในการเรียนรู้ให้ลูก ๆ ซึ่งก็คือ ความรักในการอ่านนั่นเอง
ผู้เขียนยินดีที่ได้เห็นลูกที่โต ๆ กันแล้วได้รู้จักและรักเพื่อนเก่าของผู้เขียน อย่าง Sense & Sensibility, The Great Gatsby, Moby Dick, Of Mice and Men, The red Badge of Courage, War and Peace, The Hound of the Baskerville, ฯลฯ อีกมากมาย แล้วก็ดีใจที่ลูกเล็ก ๆ ยังมีเพื่อนใหม่อีกมากมายที่รอทำความรู้จักกันอยู่ ขอให้สนุกในการอ่านค่ะ
#สอนลูกให้เป็นหนอนหนังสือ
#เลี้ยงลูกให้เป็นนักอ่าน
อ่านเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่ http://bit.ly/สอนลูกรักการอ่าน
http://www.littleheartsbooks.com/2012/02/09/tips-for-raising-bookworms/
เขียนเรื่องการอ่านมาหลายเรื่องแล้ว วันนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายของช่วงนี้นะคะ แต่จะมีรายการหนังสือแนะนำมาให้ดูกันอย่าลืมคอยติดตามค่ะ
Wednesday, October 23, 2013
Thursday, June 27, 2013
หลบฉากเพื่อมองลูกทะยานไปข้างหน้า
หลบฉากเพื่อมองลูกทะยานไปข้างหน้า
“สิ่งดี ๆ ที่คุณจะให้แก่ลูกได้คือ รากฐานที่ดี และปีกที่จะโบยบิน” – Hodding Carter
บางครั้ง ฉันก็ได้อ่านบางอย่างที่สะดุดใจ ทำให้ฉันเปลี่ยนมุมมอง และมองเห็นว่าอาจมีวิธีบางอย่างที่ดีกว่าวิธีที่ฉันใช้อยู่ก็ได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อฉันอ่านบทสัมภาษณ์เจาะลึก เด็บบี้ เฟลทส์ แม่ของไมเคิล แชมป์ว่ายน้ำระดับโลก ในสัมภาษณ์ เด็บบี้เล่าให้ฟังว่าไมเคิลจัดกระเป๋าว่ายน้ำอย่างไรเมื่อตอนเป็นเด็ก เมื่อเขาลืมแว่นกันน้ำในการแข่งและมองหาแม่อย่างขอความช่วยเหลือ แม่ก็แบมือเปล่าให้ดู และเขาก็ต้องว่ายน้ำไปโดยไม่ได้ใช้แว่น
ฉันต้องยอมรับว่าอ่านแล้วทำใจยากจริง
ๆ
ตอนนั้นฉันยังจัดกระเป๋าว่ายน้ำให้ลูกสาวทั้งคู่อยู่เลย
และฉันรู้ว่าถ้าลืมแว่นกันน้ำ ฉันก็ต้องไปขวนขวายหามาจนได้ ลูกจะได้ไม่แสบตา
ไม่ลำบาก และไม่ล้มเหลว
และฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการรังแกลูก
ทำไมน่ะรึ?
เพราะลูกที่ตอนนั้นอายุ
8 ขวบและ 5 ขวบนั้น จัดกระเป๋าเองได้แน่ ๆ อยู่แล้ว
กระเป๋าเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
แต่ฉันรู้ดีว่ามีอีกหลายอย่างที่ฉันทำให้ลูก ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอทำได้ด้วยตัวเอง
เหตุผลน่ะเหรอ? เพราะฉันทำเองเร็วกว่า ไม่วุ่นวาย และสะดวกกว่าน่ะสิ
ฉันทำเองแปลว่าโอกาสที่จะลืมของมีน้อยลง
และโอกาสที่ฉันจะต้องฟังเสียงบ่นก็มีน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันทำงานเป็นนายสิบฝึกหัดทหารอยู่หลายปี
การที่จะปล่อยสายบังเหียนและปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรเป็นไปตามธรรมชาตินี่เป็นเรื่องยากมาก
แต่การทำสิ่งที่ลูกทำได้เองให้ลูก
ก็เท่ากับขวางไม่ให้พวกเค้าได้ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถของตัวเอง
ความจริงนั้นเจ็บปวด
แต่ความจริงก็ช่วยเยียวยาด้วย และช่วยทำให้ฉันได้พัฒนาไปเป็นคนและเป็นพ่อแม่แบบที่ฉันอยากจะเป็น
ดังนั้น
ตอนที่เราเตรียมตัวสำหรับการเข้าร่วมทีมว่ายน้ำในฤดูร้อนปีนี้
ฉันจึงรู้ว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการซื้อชุดว่ายน้ำใหม่ หรือแว่นกันน้ำอันใหม่
ถึงเวลาที่สาว ๆ จะต้องมีกระเป๋าว่ายน้ำของตัวเองแล้ว
เมื่อฉันบอกลูก
ๆ เรื่องนี้ พวกเธอปลาบปลื้มมาก
พวกเธอมีความสุขกับการคิดว่าจะจัดกระเป๋าสีสดใสของตัวเองอย่างไรดี
ลูกสาวคนโตเสนอให้ซื้อขวดแชมพูและครีมนวดผมเล็ก ๆ จะได้ไปอาบน้ำกันเองหลังการฝึก
ชั่วแวบหนึ่ง ฉันรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที ถ้าลูกลืมชุดว่ายน้ำไว้ในห้องน้ำล่ะ
ถ้าลูกสบู่เข้าตาจะเอาผ้าที่ไหนเช็ด แล้วใครจะบิดชุดว่ายน้ำให้
แล้วฉันก็รู้คำตอบว่า
ลูก ๆ ก็จะทำกันเองน่ะแหล่ะ
ลูก
ๆ ของฉันไม่ใช่แค่ทำได้ แต่พวกเธอพร้อมแล้วที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเอง
ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหลบฉากและปล่อยพวกเธอไป
ตลอดสามสัปดาห์ที่ลูก ๆ เอากระเป๋าไปเอง ไปอาบน้ำกันเอง ฉันก็ต้องประหลาดใจว่าไม่มีใครลืมชุดชั้นในสะอาด ๆ ไม่มีใครมีปัญหากับการเช็ดตัวให้แห้ง และไม่มีใครลืมชุดว่ายน้ำไว้ในห้องอาบน้ำเลย และต่อให้เกิดเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นมา ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ก็แค่ไม่สะดวกนิดหน่อย แล้วก็ต้องแก้ปัญหาไปจนได้ ลูกอาจจะต้องควักกระเป๋าตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกสักหน่อย
ยิ่งกว่านั้น ฉันยังได้สังเกตเห็นว่า เมื่อเด็ก ๆ ถือกระเป๋าไปกันเอง และอาบน้ำเองโดยไม่ต้องให้แม่ช่วย ความเป็นตัวของตัวเองในเรื่องอื่นก็ฉายชัดขึ้นมาด้วย จริง ๆ แล้ว มันทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะไปสมัครเป็นผู้จับเวลา ซึ่งหมายความว่าเด็ก ๆ จะต้องรับผิดชอบการไปเข้ากลุ่มของตัวเองเมื่อมีการประกาศเรียก ชั่วขณะหนึ่งที่ความกังวลพลุ่งพล่านขึ้นมา ถ้าลูกไปไม่ทันล่ะ เกิดลูกสาวคนเล็กมัวแวะข้างทางเพราะเจอเต่าทองหรือไอศกรีมแท่งล่ะ แล้วใครจะช่วยลูกสวมหมวกว่ายน้ำกัน
ตลอดสามสัปดาห์ที่ลูก ๆ เอากระเป๋าไปเอง ไปอาบน้ำกันเอง ฉันก็ต้องประหลาดใจว่าไม่มีใครลืมชุดชั้นในสะอาด ๆ ไม่มีใครมีปัญหากับการเช็ดตัวให้แห้ง และไม่มีใครลืมชุดว่ายน้ำไว้ในห้องอาบน้ำเลย และต่อให้เกิดเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นมา ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ก็แค่ไม่สะดวกนิดหน่อย แล้วก็ต้องแก้ปัญหาไปจนได้ ลูกอาจจะต้องควักกระเป๋าตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกสักหน่อย
ยิ่งกว่านั้น ฉันยังได้สังเกตเห็นว่า เมื่อเด็ก ๆ ถือกระเป๋าไปกันเอง และอาบน้ำเองโดยไม่ต้องให้แม่ช่วย ความเป็นตัวของตัวเองในเรื่องอื่นก็ฉายชัดขึ้นมาด้วย จริง ๆ แล้ว มันทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะไปสมัครเป็นผู้จับเวลา ซึ่งหมายความว่าเด็ก ๆ จะต้องรับผิดชอบการไปเข้ากลุ่มของตัวเองเมื่อมีการประกาศเรียก ชั่วขณะหนึ่งที่ความกังวลพลุ่งพล่านขึ้นมา ถ้าลูกไปไม่ทันล่ะ เกิดลูกสาวคนเล็กมัวแวะข้างทางเพราะเจอเต่าทองหรือไอศกรีมแท่งล่ะ แล้วใครจะช่วยลูกสวมหมวกว่ายน้ำกัน
ดังนั้นเมื่อมีประกาศเรียกกลุ่มของลูกสาวคนเล็ก
ฉันก็ได้แต่มองอย่างกระวนกระวายอยู่ตรงเลน 5 ตำแหน่งที่ฉันเป็นผู้จับเวลาอยู่
ทันใดนั้น
ลูกสาวทั้งสองของฉันก็กระโดดขึ้นมาแล้วไปเอาหมวกว่ายน้ำกับแว่นกันน้ำอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ตอนแรกเก็บผมไม่สำเร็จ พี่สาวคนโตก็พยายามจนสำเร็จได้
เสร็จแล้วก็พากันเดินเลาะริมสระไปอย่างมั่นใจเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
ก่อนที่ลูกคนเล็กจะเดินเข้าไป
สองพี่น้องก็แปะมือไฮไฟว์กัน
“โชคดีนะ”
พี่สาวบอกน้อง
และแม้ว่าพี่จะไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
แต่เธอก็ยังยืนอยู่ครู่หนึ่ง ดูว่าน้องเข้าไปถูกที่แล้ว
ฉันไม่เคยสอนลูกให้ทำอย่างนั้น เธอทำของเธอเอง
หลังจากนั้นไม่กี่นาที
ลูกคนเล็กก็ขึ้นไปยืนบนแท่นและกระโดดพุ่งหลาวลงน้ำ
หลังจากที่เริ่มเรียนจากในน้ำมาตลอด จากขอบสระที่ฉันยืนอยู่
ฉันเห็นหน้าลูกได้อย่างชัดเจน หน้าของลูกดูเบิกบานและภาคภูมิใจแบบปิดไม่มิด
เมื่อพุ่งลงไปที่เลน 3
ตอนลูกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาและรับริบบิ้นอย่างภาคภูมิใจ ฉันก็เชียร์แล้วเชียร์อีก แต่ลูกไม่ได้ยิน ลูกไม่ได้มองมาทางฉันด้วยซ้ำ เพราะพี่สาวของเธอยืนอยู่ตรงนั้น รอกอด ชื่นชม และร่วมฉลองกับเธออยู่
ตอนลูกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาและรับริบบิ้นอย่างภาคภูมิใจ ฉันก็เชียร์แล้วเชียร์อีก แต่ลูกไม่ได้ยิน ลูกไม่ได้มองมาทางฉันด้วยซ้ำ เพราะพี่สาวของเธอยืนอยู่ตรงนั้น รอกอด ชื่นชม และร่วมฉลองกับเธออยู่
แล้วน้ำตาฉันก็พุ่งออกมาเป็นสาย
ไม่ใช่เพราะเด็ก
ๆ ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมาดูฉัน
ไม่ใช่เพราะต่อจากนี้ไป
ฉันจะเป็นที่ต้องการน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ไม่ใช่เพราะเด็ก
ๆ ตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งฉัน
ฉันร้องไห้เพราะฉันได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ฉันได้เห็นว่าลูก ๆ จะใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่
และฉันก็รู้ว่าจะเห็นช่วงเวลาแบบนี้ได้จากระยะไกลเท่านั้น
ฉันแอบปลื้มใจอยู่เงียบ ๆ เมื่อถอยออกมา ดูลูก ๆ ทะยานไปข้างหน้าพร้อม ๆ
ไปกับความรักและแรงสนับสนุนจากฉันบนไหล่เล็ก ๆ ที่มั่นคงของพวกเค้า
*****************************************************************************************************************************************
เมื่อสักปีที่ผ่านมา ฉันจำได้ว่าฉันกังวลเกี่ยวกับการที่ลูกพึ่งตัวเองไม่ได้
ทั้งการดูแลข้าวของและเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อฉันป่วยและสามีก็ไม่อยู่ เด็ก ๆ
ไม่ใช่เพียงแต่ดูแลฉัน แต่ยังดูแลกันเองและทำงานบ้านต่าง ๆ ที่ฉันเคยทำให้ด้วย
ฉันจึงได้ตระหนักว่าที่ฉันมองว่าเด็ก ๆ พึ่งพาตัวเองไม่ได้นั้น จริง ๆ
แล้วเป็นเพราะขาดโอกาสต่างหาก
ประสบการครั้งนั้นช่วยจุดประกายให้ฉันก้าวต่อไปในขั้นตอนของการปล่อยวาง เมื่อเด็ก
ๆ ได้มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ก็มีเรื่องผิดพลาดและยุ่งเหยิงมากขึ้น
แต่อีกอย่างที่มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ ลูก ๆ มีความเชื่อมั่นในตัวเองและมีความสามารถในการตัดสินใจได้มากขึ้นและดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฉันจึงตระหนักว่าถ้าฉันต้องการให้ลูกรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเองได้ ฉันก็จะต้องหลบไปข้าง
ๆ และปล่อยให้ลูก ๆ ได้ตัดสินใจเอง
#ปล่อยลูกช่วยตัวเอง
#พ่อแม่รังแกฉัน #เป็นตัวของตัวเอง
Rachel Macy Stafford: The Hands Free Revolution
Thursday, June 20, 2013
#เมื่อฉันหยุดตะคอกใส่ลูก
คุณไม่ใช่คนเดียวที่เคยตะคอกใส่คนที่คุณรักมากที่สุด
แต่นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุด
ฉันปลาบปลื้มกับข้อความที่ลูกเขียนให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นลายมือหวัด ๆ
ที่เขียนอยู่บนกระดาษโพสต์อิท หรือคัดมาอย่างสวยงามบนกระดาษตีเส้น
แต่กลอนที่ลูกสาววัย 9 ขวบเขียนให้ฉันในวันแม่นั้นมีความหมายมากเป็นพิเศษ จริง ๆ
แล้วแค่อ่านบรรทัดแรกก็ทำให้ฉันสะดุดลมหายใจพร้อมกับน้ำตาไหลอาบหน้า
“สิ่งสำคัญเกี่ยวกับคุณแม่ของฉันคือ คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ
แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา” คุณเห็นมั้ยคะ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไปหรอก
ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ ช่วงที่ชีวิตของฉันกำลังเต็มไปด้วยสารพัดเรื่องกวนใจ
ฉันเป็นจอมตะคอก ไม่ได้บ่อยมากหรอก แต่รุนแรงมาก เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพองลมพร้อมแตก
ที่อยู่ ๆ ก็ระเบิดออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ต้องตระหนกอกสั่นด้วยความกลัว
แล้วลูกวัย 3 ขวบกับ 6 ขวบของฉันทำอะไรหรือที่ทำให้ฉันเสียความควบคุมตัวเอง
เพราะเธอยังจะวิ่งกลับไปเอาสร้อยลูกปัดอีก 3
เส้นกับแว่นกันแดดสีชมพูอันโปรดของเธอทั้ง ๆ ที่เราสายมากแล้วงั้นเหรอ
หรือว่าเธอพยายามจะเทซีเรียลด้วยตัวเองแล้วเลยทำหกเลอะเคาท์เตอร์ทั้งกล่อง
หรือที่เธอทำตุ๊กตาแก้วรูปนางฟ้าอันโปรดของฉันตกเป็นรอยทั้ง ๆ
ที่ฉันห้ามไม่ให้จับไว้แล้ว หรือเมื่อเธอไม่ยอมนอนเมื่อฉันต้องการเวลาเงียบ ๆ
เพื่อพักผ่อนอย่างเหลือเกิน
หรือเมื่อลูกทั้งสองแข่งกันเรื่องไร้สาระอย่างใครจะออกจากรถได้ก่อน
หรือใครจะได้ไอศกรีมก้อนใหญ่กว่ากัน
ใช่แล้ว ก็เรื่องพวกนี้แหละ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
เกี่ยวกับความประพฤติและความคิดของเด็กปกติธรรมดานี่แหล่ะที่ก่อกวนจนฉันลืมตัวเสียความควบคุม
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ ฉันเกลียดตัวเองในช่วงนั้นจริง ๆ
มันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงอยากจะกรีดร้องใส่ลูกตัวน้อย ๆ
ที่แสนมีค่าทั้งสองคนที่ฉันรักยิ่งกว่าชีวิต
ฉันจะเล่าให้คุณฟัง
สารพัดเรื่องที่ทำดึงความสนใจของฉันไป
ใช้โทรศัพท์มากเกินไป รับปากว่าจะทำโน่นนี่มากเกินไป มีรายการเรื่องที่ต้องทำมากมายหลายหน้า
และความต้องการที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบก็กำลังกัดกินตัวฉัน และการระเบิดอารมณ์ใส่คนที่ฉันรักก็เป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ฉันจะต้องล้มเหลวในเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง
แล้วฉันก็เลยล้มไม่เป็นท่าอยู่เบื้องหลังประตูที่ปิดตาย
ใส่คนที่มีความหมายมากที่สุดของฉัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ลูกสาวคนโตของฉันกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง
พยายามจะหยิบอะไรสักอย่างบนชั้นวางอาหาร แล้วเธอก็พลาดทำถุงข้าวตกลงไปบนพื้นทั้งถุง
ขณะที่เมล็ดข้าวตกกระจายไปเต็มพื้นเหมือนห่าฝน ลูกสาวของฉันก็มีน้ำตาเต็มตา
และนั่นก็คือตอนที่ฉันได้เห็น เห็นความกลัวในดวงตาของเธอขณะที่กำลังนั่งตัวแข็งรอการประณามอย่างรุนแรงจากฉัน
‘ลูกกลัวฉัน’ ฉันรับรู้เรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณ ‘ลูกวัย 6 ขวบของฉันกลัวปฏิกิริยาของฉันจากความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจ’
ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต
และไม่อยากให้ลูกเติบโตมากับแม่แบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็จัดการกับชีวิตของตัวเองเสียใหม่
ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดทำให้ฉันตกลงใจที่จะกำจัดสิ่งที่แย่งความสนใจทั้งหลายออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเท่านั้น นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีครึ่งมาแล้ว สองปีครึ่งที่ฉันค่อย ๆ ลดสิ่งกวนใจทั้งหลายลง
สองปีครึ่งที่ปลดปล่อยตัวเองจากมาตรฐานความสมบูรณ์แบบที่เป็นไปไม่ได้
และแรงกดดันจากสังคมว่าจะต้อง “ทำได้ทุกอย่าง” หลังจากที่ฉันได้กำจัดสิ่งกวนใจทั้งภายในภายนอกออกไป
ความโกรธและความเครียดที่ฝังตัวอยู่ก็ค่อย ๆ สลายไป เมื่อภาระน้อยลง
ฉันก็สามารถจัดการกับความพลาดพลั้งหรือความผิดของลูกได้อย่างสงบ มีเหตุผล
และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
ฉันพูดได้ว่า “ก็แค่ช็อกโกแลตหก ลูกเช็ดแล้วเคาท์เตอร์ก็จะสะอาดเหมือนเดิมนั่นล่ะ”
(แทนที่จะถอนใจและกรอกตาอย่างโมโหโทโส)
ฉันเสนอที่จะช่วยถือไม้กวาดระหว่างที่เธอเก็บขนมที่หกเต็มพื้น
(แทนที่จะยืนค้ำหัวมองเธอด้วยความรำคาญและไม่พอใจ)
ฉันช่วยลูกคิดว่าลูกน่าจะเอาแว่นตาไปวางไว้ที่ไหน
(แทนที่จะทำให้เธออับอายด้วยการว่าลูกว่าไม่รู้จักรับผิดชอบ)
และเมื่อมีช่วงเวลาที่เกิดความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดและลูกก็ร้องไห้ไม่หยุด
ฉันจะเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู ให้เวลาตัวเองหายใจลึก ๆ
แล้วเตือนตัวเองว่าลูกยังเป็นเด็กอยู่ และเด็กก็ทำผิดได้เหมือนกับฉันเหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไป
ความกลัวที่เคยฉายชัดอยู่ในดวงตาของลูกเมื่อเค้ามีปัญหาก็เริ่มหายไป โล่งอกไปที
ฉันได้กลายเป็นที่พักใจของลูก ๆ เมื่อมีปัญหา แทนที่จะเป็นศัตรูที่เด็ก ๆ
อยากจะวิ่งหนีไปซ่อน
ฉันไม่แน่ใจว่าเคยคิดอยากจะเขียนเล่าเรื่องนี้รึเปล่า
ถ้าไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างที่เกิดเมื่อบ่ายวันจันทร์ ตอนนั้นฉันรู้สึกเซ็งชีวิตอย่างแรงและเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว
ฉันกำลังเขียนบทสุดท้ายเพื่อปิดต้นฉบับหนังสือที่กำลังเขียนอยู่
แล้วคอมพิวเตอร์ก็ค้างไปเฉย ๆ แล้วบทความ 3
บทสุดท้ายที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วก็หายวับไปกับตา ฉันพยายามจะดึงข้อมูลล่าสุดที่พิมพ์ตามที่ร่างไว้กลับมาอยู่พักหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ
พยายามดึงข้อมูลที่แบ็คอัพไว้ ก็ไม่ได้อีก เมื่อฉันรู้ว่าฉันไม่มีทางดึงข้อมูลกลับมาได้แล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้
แต่จริง ๆ แล้วอยากจะอาละวาดมากกว่า
แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะถึงเวลาต้องไปรับเด็ก ๆ
กลับจากโรงเรียนไปฝึกว่ายน้ำแล้ว ฉันค่อย ๆ ปิดแล็ปท็อปด้วยความอดกลั้นอย่างที่สุด
และเตือนตัวเองว่าเสียข้อมูลไปแค่ไม่กี่บทก็ยังดี แล้วตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เมื่อลูก ๆ ขึ้นรถก็รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติได้ทันที
และถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นอะไรรึเปล่าคะแม่”
ฉันรู้สึกอยากจะตะโกนออกมาว่า “ฉันเสียงานที่ใช้เวลาทำตั้ง 3
วันไปแล้ว”
ฉันอยากจะทุบพวงมาลัยรถเพราะตอนนี้ฉันอยากจะกลับไปนั่งแก้งานมากกว่าจะมามัวขับรถพาลูกไปว่ายน้ำ
จัดการกับชุดว่ายน้ำ หวีผมยุ่ง ๆ ทำอาหารเย็น ล้างจาน แล้วก็พาลูกเข้านอนอยู่อย่างนี้
แต่ฉันก็เพียงพูดอย่างสงบว่า “แม่ยังไม่อยากพูดถึงมันตอนนี้ เรื่องที่แม่เขียนเพิ่งหายไปแล้วแม่ก็ไม่อยากพูดเพราะแม่หงุดหงิดมาก
“พวกเราเสียใจด้วยค่ะ” ลูกสาวคนโตพูด แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ๆ
กันไปตลอดทางเหมือนรู้ว่าฉันต้องการความสงบ ฉันและลูก ๆ ทำกิจกรรมกันไปตลอดวัน
แม้ว่าฉันจะเงียบกว่าปกติ แต่ฉันก็ไม่ได้ตะคอก
และฉันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่คิดถึงเรื่องหนังสือ
และแล้วก็เกือบจะหมดวัน ฉันพาลูกคนเล็กเข้านอนแล้ว
และกำลังนอนคุยอยู่กับลูกสาวคนโต
แล้วลูกก็ถามขึ้นมาเงียบ ๆ ว่า “แม่ว่าแม่จะดึงข้อมูลกลับมาได้มั้ยคะ”
ตอนนั้นฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เสียไป
ฉันรู้ดีว่าฉันเขียนใหม่ได้ แต่เป็นเพราะฉันกำลังจะได้ปล่อยวางตัวเองจากความความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดจากการเขียนและแก้ไขเรื่องเสียที
แต่แล้วความสำเร็จที่กำลังจะเอื้อมถึงก็ถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ฉันผิดหวังมาก
แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อลูกเอื้อมมือมาลูบผมฉันแล้วใช้คำพูดที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า
“บางทีคอมพิวเตอร์ก็น่าโมโหนะคะ” และ
“หนูไปช่วยดูให้ก็ได้นะคะว่าจะแก้ข้อมูลกลับมาได้รึเปล่า” และท้ายสุดก็พูดว่า
“แม่ทำได้อยู่แล้วค่ะ แม่เป็นนักเขียนที่เก่งที่สุดที่หนูรู้จัก” และ
“หนูจะช่วยแม่เท่าที่ทำได้นะคะ”
ในเวลาที่ฉันมี “ปัญหา” ลูกก็อยู่ตรงนั้น
เป็นผู้ให้กำลังใจที่อดทนและเห็นอกเห็นใจโดยไม่คิดจะซ้ำเติมเมื่อฉันล้ม
ลูกของฉันคงจะไม่ได้เรียนรู้วิธีปลอบด้วยความเห็นใจอย่างนี้ถ้าฉันยังเป็นจอมตะคอก
เพราะการแผดเสียงเป็นการปิดการสื่อสาร มันทำลายความสัมพันธ์ มันแยกคนออกจากกัน
แทนที่จะทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
“เรื่องสำคัญคือ... คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ
แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา”
ลูกของฉันเขียนถึงฉันแบบนั้น
ผู้หญิงที่ได้ก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากที่ไม่น่าภาคภูมิใจ แต่เธอได้เรียนรู้แล้ว
และจากคำพูดของลูก ฉันก็เห็นว่ายังมีความหวังสำหรับคนอื่นด้วย
เรื่องสำคัญก็คือ... ยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดแผดเสียง
เรื่องสำคัญก็คือ...
ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าที่จะมัวโมโหกับอาหารที่หกเลอะเทอะหรือรองเท้าที่วางผิดที่ผิดทาง
เรื่องสำคัญก็คือ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน
วันนี้ก็เป็นวันใหม่แล้ว
วันนี้ เราเลือกได้ที่จะตอบสนองอย่างสันติ
และเมื่อทำอย่างนั้น เราก็จะสอนลูก ๆ ของเราได้ว่า
สันติภาพนั้นสามารถสร้างสะพานได้ สะพานที่จะช่วยพาเราก้าวผ่านพ้นปัญหาไป
Rachel Macy Stafford: The Hands Free Revolution
#แก้ปัญหาลูกนอนยาก
#ข้อแนะนำสำหรับกล่อมเด็กทาร กและเด็กวัยหัดเดินให้นอนแบ บพ่อแม่เปี่ยมเมตตา โดย PhD in Parenting
บทความนี้เป็นข้อแนะนำสำหรั บพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนที่ต้ องการให้ลูกหลับดีขึ้นโดยไม่ต้องการใช้วิธีปล่อยให้ร้อ งจนหลับ บางอย่างเป็นสิ่งที่ผู้เขีย นได้มาจากประสบการณ์ บางอย่างก็ได้มาจากการค้นคว้าหาข้อมูล ผู้เขียนไม่ได้ใช้ทุกวิธี เพราะไม่ได้รู้สึกว่าลูกมีป ัญหาในการนอน ไม่ใช่ว่าลูกจะไม่เคยตื่นกล างดึกเลย หรือจะไม่เคยมีปัญหานอนยากเลย แต่โดยทั่วไปแล้ว ทั้งลูกและผู้เขียนก็ได้รับ การพักผ่อนเพียงพอ
1. กำหนดกิจวัตรประจำวันก่อนนอ นที่เงียบสงบ
เด็ก ๆ ต้องการเวลาที่จะทำตัวให้สง บพร้อมเข้านอน ถ้ามีการเตรียมตัวนอนที่แน่ นอน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็จะเป็นการส่งสัญญาณให้เด็ กรับรู้ว่าได้เวลานอนแล้ว เช่น การเปลี่ยนมาใส่ชุดนอน แปรงฟัน อ่านหนังสือก่อนนอน ให้นมหรือกล่อมนอน ฯลฯ พยายามที่จะทำขั้นตอนเหล่าน ี้แบบเรียงลำดับเหมือนเดิมจ ะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ว่าขั ้นตอนต่อไปคืออะไร และเรียนรู้ที่จะค่อย ๆ สงบลงผ่านขั้นตอนต่าง ๆ นั้น คุณอาจมีกิจวัตรมากกว่า 1 รูปแบบได้ เช่น แบบหนึ่งสำหรับช่วงวันทำงาน อีกแบบหนึ่งสำหรับวันหยุด แบบหนึ่งสำหรับพ่อ และอีกแบบเป็นของแม่ การมีรูปแบบกิจวัตรประจำวัน มากกว่า 1 แบบนับเป็นผลดีที่จะช่วยให้ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าขั้นตอนบางอย่างจำเป็นต้ องเปลี่ยนแปลงไป เช่น พ่อหรือแม่ไม่อยู่ คุณไปหาเพื่อน หนังสือเล่มโปรดหายไป ฯลฯ แล้วก็ต้องสร้างบรรยากาศให้ เงียบสงบสมกับเป็นช่วงเวลาน อน เช่น ปิดไฟสว่าง ๆ ให้หมด (เปิดไฟสลัว ๆ จะดีมาก) ปิดทีวี งดเสียงดังอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนถึงเวลานอน (จะให้ดีคือ ควรปิดทีวีหลาย ๆ ชั่วโมงก่อนนอน ถ้าคุณอนุญาตให้ลูกดูทีวีได ้) ลองพิจารณาใส่การนวดไว้ในกิ จวัตรก่อนนอนดู
2. ให้เด็ก ๆ ได้รับอากาศบริสุทธิ์และออก กำลังกายมาก ๆ
สำหรับลูก ๆ ของผู้เขียนและเด็ก ๆ หลายคนที่ผู้เขียนรู้จัก เรื่องนี้คือปัจจัยที่สำคัญ ที่สุดที่จะเป็นตัวตัดสินว่ าเด็ก ๆ จะนอนหลับดีในตอนกลางคืนหรื อไม่ เมื่อลูกชายของผู้เขียนอยู่ ในวัยหัดเดินและนอนหลับยากม าก ๆ เค้าก็ใช้เวลาวิ่งเล่นนอกบ้ านวันละหลายชั่วโมงอยู่แล้ว แต่เมื่อผู้เขียนเพิ่มเวลาเ ล่นนอกบ้านให้เป็นเท่าตัว การนอนหลับของลูกก็ดีขึ้นแบ บทวีคูณ แม้แต่ในช่วงอากาศหนาว (ผู้เขียนอยู่ประเทศแคนาดา) ผู้เขียนก็ยังพยายามให้ลูกเ ล่นนอกบ้านทุกวัน (แต่งตัวให้หนาแล้วออกไปข้า งนอกใกล้ ๆ หลาย ๆ รอบถ้าจำเป็น) แล้วก็หาที่ให้พวกเค้าได้ออ กกำลัง (อาจเป็นสนามเด็กเล่นในร่ม หรือศูนย์เด็กเล่น อาจไปเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ห รือตามห้างหรือที่ไหน ๆ ที่เด็ก ๆ จะเดินได้นาน ๆ) ถ้าลูกเป็นเด็กกระฉับกระเฉง และคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ก็ให้ลองที่ 4 ชั่วโมงดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ถึงอย่างไรเด็ก ๆ ของเราก็จำเป็นต้องได้รับอา กาศบริสุทธ์และได้ออกกำลังอ ยู่ดี ดังนั้น ไม่ว่ามันจะช่วยเรื่องนอนหร ือไม่ ก็เป็นสิ่งดีที่ควรทำ
3. ดูเรื่องอาหารของลูกด้วย
เป็นไปได้ว่าบางอย่างที่ลูก ทานเข้าไปเป็นตัวทำให้มีปัญ หาในการนอน ทารกที่ดื่มนมผสมบางคนอาจมี ความไวต่อนมผสมบางสูตรเป็นพ ิเศษ ทารกที่เริ่มอาหารเสริมแล้ว อาจมีอาการไวหรือแพ้อาหารบา งอย่างทำให้นอนหลับยากได้ และอาหารบางชนิดก็ทำให้นอนห ลับไม่ดีถ้าทานตอนใกล้เวลาน อนมากเกินไป ซึ่งได้แก่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคาเฟอี น (ช็อกโกแลต น้ำอัดลม ฯลฯ) อาหารที่มีน้ำตาล หรือมีการแต่งสีแต่งกลิ่น มากอาหารที่มีโปรตีนสูง และมีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ย ว (พวกแป้งขัดขาว ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาล – แอดมิน) มาก คุณควรเปลี่ยนไปเตรียมอาหาร ที่ช่วยให้ลูกหลับได้ดีขึ้น แทน เช่น ธัญพืช ผักและผลไม้ นอกจากนี้ อาหารบางอย่างยังมีทริปโตเฟ น (สารชวนง่วง) ทำให้เหมาะสำหรับการเป็นอาห ารมื้อเย็น (แม้ว่าบางอย่างจะเป็นอาหาร พวกโปรตีน) เช่น ไก่งวง ทูน่า ถั่วบางประเภท (ห้ามให้เด็กทารก) เนยแข็งสดพวกคอทเทจ ชีส เนยแข็งแบบแข็ง โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไข่ กล้วย และ อะโวคาโด
4. ดูอาหารที่แม่ทานด้วยว่าส่ง ผลต่อลูกหรือไม่
ถ้าคุณให้นมลูก ก็ควรดูด้วยว่า อาหารที่คุณรับประทานเข้าไป ส่งผลต่อการนอนของลูกหรือเป ล่า โดยทั่วไป แม่ให้นมสามารถทานอะไรก็ได้ แต่เด็กอ่อนบางคนก็ไวต่ออาห ารบางอย่างที่แม่ทาน อาหารพวกนม เนย มักตกเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี ้ แล้วก็ยากที่จะงดเว้นได้ตลอ ด (เพราะเป็นส่วนประกอบในอาหา รสารพัดอย่าง บางทีก็ดูยากว่ามีหรือไม่) มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย Kellymom (เพจนมแม่ แบบแฮปปี้มีกล่าวถึงเรื่องน ี้บ่อย ๆ – แอดมิน) นอกจากอาหารแล้ว คาเฟอีนและอัลกอฮอล์ก็ตกเป็ นจำเลยด้วยเหมือนกัน แม้จะถือว่าค่อนข้างปลอดภัย สำหรับการให้นม แต่ก็อาจมีผลต่อการนอนของลู กได้ คาเฟอีนที่คุณรับเข้าไปอาจท ำให้ลูกตาโตเป็นพิเศษได้ (แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องงูก ินหาง เพราะถ้าคุณหลับไม่ดี คุณก็มักจะดื่มกาแฟเข้าไปอี ก) ส่วนอัลกอฮอล์ จากการศึกษาผลกระทบที่อัลกอ ฮอล์มีต่อการนอนหลับแล้ว พบว่าเด็กอ่อนจะนอนหลับได้แ ย่ลงในช่วง 3.5 ชั่วโมงหลังจากดื่มนมแม่ แม้จะมีปริมาณอัลกอฮอล์ในน้ ำนมเพียงน้อยนิด
5. นอนกับลูกดีมั้ย
การนอนกับลูกไม่ได้เหมาะกับ ทุกคน แต่สำหรับหลาย ๆ ครอบครัว (รวมทั้งของผู้เขียนด้วย) นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จ ะทำให้ทุกคนได้พักผ่อน มีข้อดีมากมายเกี่ยวกับการน อนด้วยกัน (http:// www.phdinparenting.com/ blog/2009/1/9/ benefits-of-co-sleeping.htm l แล้วก็มีกฎความปลอดภัย (http:// www.phdinparenting.com/ blog/2009/1/11/ co-sleeping-safety.html) ที่ต้องคำนึงถึง ถ้าคุณอยากจะนอนกับลูก
6. นอนกลางวันเป็นเวลา
การหลับดีจะช่วยให้หลับดีต่ อไป พ่อแม่หลายคนคิดว่าถ้าเด็กไ ม่นอนตอนกลางคืน ควรจะพยายามไม่ให้เด็กหลับก ลางวัน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด จริง ๆ แล้วพ่อแม่ควรจะจัดให้ลูกนอ นกลางวันอย่างสม่ำเสมอเป็นก ิจวัตร แต่การนอนกลางวันรอบสุดท้าย ไม่ควรเย็นจนเกินไป จะได้ไม่ไปกวนเวลานอนตอนกลา งคืน
7. ทำให้สภาพแวดล้อมในการนอนน่ านอน
ไม่ว่าจะให้ลูกนอนที่ไหน ทำให้ตรงนั้นเป็นที่ที่น่าน อน ไม่ใช่ว่าต้องมีผ้าห่มและหม อนเยอะแยะ (ซึ่งออกจะอันตรายไปหน่อย) แต่ให้แต่งตัวลูกให้เป็นชุด ใส่สบาย เหมาะกับอุณหภูมิในห้อง อาจจะมีเสียงกล่อม (white noise) และห้องนอนจะต้องปลอดควันบุ หรี่ อย่าให้คนที่สูบบุหรี่นอนห้ องเดียวกับเด็กทารก จะให้ดีควรทำให้ทั้งบ้านเป็ นบ้านปลอดบุหรี่
8. ปรับความคาดหวังของตัวคุณเอ ง
ผู้เขียนเกลียดมากที่ชอบพูด กันเรื่องนอนหลับตลอดคืน สังคมของเรากดดันพ่อแม่ในเร ื่องนี้มากเกินไป และไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้ อมูลว่าปกติแล้วเด็กทารกนอน กันอย่างไร ขอให้มีเหตุผลและอดทนกับลูก ขอให้เข้าใจว่าเด็กทุกคนไม่ เหมือนกัน การที่เด็กเคยหลับดี ก็ไม่ได้แปลว่าจะหลับดีไปตล อด เพราะถ้าเด็กกำลังฟันขึ้น อยู่ในช่วงโตแบบพรวดพราด ป่วย กำลังมีพัฒนาการบางอย่าง หิว ออกกำลังไม่พอ หรือไม่ได้รับอากาศสดชื่นเพ ียงพอ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่ ากลัวมาตลอดวัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนทำให้มีปัญหาในการหลับไ ด้ทั้งนั้น
9. อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน
ถ้าไม่มีอะไรในบทความนี้ช่ว ยคุณได้ หรือคุณได้ลองทุกอย่างที่กล่าวถึงไปหมดแล้ว ก็ขอให้ลองอ่านหนังสือที่มี คนเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อ ยู่มากมาย คุณอาจจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือพวกนี้บ้างก็ได้ เช่น หนังสือชุด "No-Cry" ของ Elizabeth Pantley ซึ่งมี The No Cry Sleep Solution, The No Cry Sleep Solution for Toddlers and Preschoolers และ The No Cry Nap Solution ซึ่งมีคำแนะนำและแนวคิดที่ดีมาก ผู้เขียนใช้หนังสือพวกนี้ทั ้งกับตัวเองและใช้ช่วยคนอื่ น ๆ อีกมาก แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ทำบันทึ กประจำวันหรืออะไรที่เป็นเร ื่องเป็นราวมากอย่างที่หนัง สือแนะนำ ผู้เขียนมองว่ามันทำให้เผลอ คิดว่าแผนการนอนเป็นการฝึกน อนได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วแนวคิดที่แนะนำคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมา ะสำหรับการนอนอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นอย่าล้มเลิกเพียงเพร าะเรื่องการทำบันทึกฟังดูวุ ่นวายหรือไม่เหมาะกับคุณ แค่เอาคำแนะนำและแนวคิดในหน ังสือที่เหมาะกับครอบครัวแล ะลูกของคุณมาใช้ก็เพียงพอแล ้ว
ยังมีหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่เน้นเรื่องการช่วยลูกนอน ด้วยวิธีที่อ่อนโยน ได้แก่
o The Happiest Baby on the Block: The New Way to Calm Crying and Help Your Newborn Baby Sleep Longer (โดย Harvey Karp)
o Three in a Bed: The Benefits of Sleeping with Your Baby (โดย Deborah Jackson)
o Good Nights: The Happy Parents' Guide to the Family Bed (and a Peaceful Night's Sleep) (โดย Maria Goodavage และ Jay Gordon)
o Sleeping with Your Baby: A Parent's Guide to Cosleeping (โดย James J. McKenna)
และยังมีลิงค์ไปยังบทความแล ะวิดีโอเกี่ยวกับเทคนิคการน อนอยู่ในบล็อก เรื่อง Parenting Baby To Sleep ของเพจ I Need Sleep Now
อีกเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนอ ยากจะฝากไว้คือ ไม่มีหนังสือหรือบล็อกใด ๆ ที่จะมีวิธีแก้ปัญหาการนอนข องทารกหรือเด็กหัดเดินได้แบ บเบ็ดเสร็จ เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือ นกัน
10. แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่ นกัน
ลูก ๆ ของเราจะเป็นเด็กอยู่แค่ไม่ นานนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่อง ง่ายเลยที่จะจัดการกับการตื ่นกลางดึกหรือการอดหลับอดนอ น และมันก็เป็นเรื่องน่าหงุดห งิดสำหรับพ่อแม่หลาย ๆ คน ดังนั้นจึงควรระลึกไว้เสมอว่า แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่ นกัน ทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องสอนให้ลูกก ล่อมตัวเองจนหลับด้วยวิธีปล ่อยให้ร้อง เพราะเค้าจะค่อย ๆ เรียนรู้เรื่องนั้นได้เอง ระหว่างนี้ ถ้าเทคนิคทั้งหลายใช้ไม่ได้ และคุณรู้สึกหงุดหงิดก็ควรล องหาตัวช่วย คู่สามีภรรยาควรจะช่วยเหลือ กันและหาทางจัดการเรื่องการ เลี้ยงลูกตอนกลางคืนทุกเมื่ อที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ คุณอาจหาคนอื่นมาช่วยช่วงกล างวันเพื่อที่คุณจะได้มีเวล างีบนาน ๆ เวลาที่ไม่ไหวจริง ๆ
(http:// www.phdinparenting.com/ blog/2009/2/28/ gentle-baby-and-toddler-sle ep-tips.html)
#ลูกนอนยาก #เคล็ดลับช่วยลูกหลับสบาย #อาหารและการนอน
บทความนี้เป็นข้อแนะนำสำหรั
1. กำหนดกิจวัตรประจำวันก่อนนอ
เด็ก ๆ ต้องการเวลาที่จะทำตัวให้สง
2. ให้เด็ก ๆ ได้รับอากาศบริสุทธิ์และออก
สำหรับลูก ๆ ของผู้เขียนและเด็ก ๆ หลายคนที่ผู้เขียนรู้จัก เรื่องนี้คือปัจจัยที่สำคัญ
3. ดูเรื่องอาหารของลูกด้วย
เป็นไปได้ว่าบางอย่างที่ลูก
4. ดูอาหารที่แม่ทานด้วยว่าส่ง
ถ้าคุณให้นมลูก ก็ควรดูด้วยว่า อาหารที่คุณรับประทานเข้าไป
5. นอนกับลูกดีมั้ย
การนอนกับลูกไม่ได้เหมาะกับ
6. นอนกลางวันเป็นเวลา
การหลับดีจะช่วยให้หลับดีต่
7. ทำให้สภาพแวดล้อมในการนอนน่
ไม่ว่าจะให้ลูกนอนที่ไหน ทำให้ตรงนั้นเป็นที่ที่น่าน
8. ปรับความคาดหวังของตัวคุณเอ
ผู้เขียนเกลียดมากที่ชอบพูด
9. อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน
ถ้าไม่มีอะไรในบทความนี้ช่ว
ยังมีหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่เน้นเรื่องการช่วยลูกนอน
o The Happiest Baby on the Block: The New Way to Calm Crying and Help Your Newborn Baby Sleep Longer (โดย Harvey Karp)
o Three in a Bed: The Benefits of Sleeping with Your Baby (โดย Deborah Jackson)
o Good Nights: The Happy Parents' Guide to the Family Bed (and a Peaceful Night's Sleep) (โดย Maria Goodavage และ Jay Gordon)
o Sleeping with Your Baby: A Parent's Guide to Cosleeping (โดย James J. McKenna)
และยังมีลิงค์ไปยังบทความแล
อีกเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนอ
10. แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่
ลูก ๆ ของเราจะเป็นเด็กอยู่แค่ไม่
(http://
#ลูกนอนยาก #เคล็ดลับช่วยลูกหลับสบาย #อาหารและการนอน
Subscribe to:
Posts (Atom)