Pages

Thursday, June 27, 2013

หลบฉากเพื่อมองลูกทะยานไปข้างหน้า

หลบฉากเพื่อมองลูกทะยานไปข้างหน้า

“สิ่งดี ๆ ที่คุณจะให้แก่ลูกได้คือ รากฐานที่ดี และปีกที่จะโบยบิน” – Hodding Carter



บางครั้ง ฉันก็ได้อ่านบางอย่างที่สะดุดใจ ทำให้ฉันเปลี่ยนมุมมอง และมองเห็นว่าอาจมีวิธีบางอย่างที่ดีกว่าวิธีที่ฉันใช้อยู่ก็ได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อฉันอ่านบทสัมภาษณ์เจาะลึก เด็บบี้ เฟลทส์ แม่ของไมเคิล แชมป์ว่ายน้ำระดับโลก ในสัมภาษณ์ เด็บบี้เล่าให้ฟังว่าไมเคิลจัดกระเป๋าว่ายน้ำอย่างไรเมื่อตอนเป็นเด็ก เมื่อเขาลืมแว่นกันน้ำในการแข่งและมองหาแม่อย่างขอความช่วยเหลือ แม่ก็แบมือเปล่าให้ดู และเขาก็ต้องว่ายน้ำไปโดยไม่ได้ใช้แว่น
ฉันต้องยอมรับว่าอ่านแล้วทำใจยากจริง ๆ
ตอนนั้นฉันยังจัดกระเป๋าว่ายน้ำให้ลูกสาวทั้งคู่อยู่เลย และฉันรู้ว่าถ้าลืมแว่นกันน้ำ ฉันก็ต้องไปขวนขวายหามาจนได้ ลูกจะได้ไม่แสบตา ไม่ลำบาก และไม่ล้มเหลว
และฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการรังแกลูก
ทำไมน่ะรึ? เพราะลูกที่ตอนนั้นอายุ 8 ขวบและ 5 ขวบนั้น จัดกระเป๋าเองได้แน่ ๆ อยู่แล้ว
กระเป๋าเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด แต่ฉันรู้ดีว่ามีอีกหลายอย่างที่ฉันทำให้ลูก ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอทำได้ด้วยตัวเอง เหตุผลน่ะเหรอ? เพราะฉันทำเองเร็วกว่า ไม่วุ่นวาย และสะดวกกว่าน่ะสิ ฉันทำเองแปลว่าโอกาสที่จะลืมของมีน้อยลง และโอกาสที่ฉันจะต้องฟังเสียงบ่นก็มีน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันทำงานเป็นนายสิบฝึกหัดทหารอยู่หลายปี การที่จะปล่อยสายบังเหียนและปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรเป็นไปตามธรรมชาตินี่เป็นเรื่องยากมาก
แต่การทำสิ่งที่ลูกทำได้เองให้ลูก ก็เท่ากับขวางไม่ให้พวกเค้าได้ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถของตัวเอง
ความจริงนั้นเจ็บปวด แต่ความจริงก็ช่วยเยียวยาด้วย และช่วยทำให้ฉันได้พัฒนาไปเป็นคนและเป็นพ่อแม่แบบที่ฉันอยากจะเป็น
ดังนั้น ตอนที่เราเตรียมตัวสำหรับการเข้าร่วมทีมว่ายน้ำในฤดูร้อนปีนี้ ฉันจึงรู้ว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการซื้อชุดว่ายน้ำใหม่ หรือแว่นกันน้ำอันใหม่  ถึงเวลาที่สาว ๆ จะต้องมีกระเป๋าว่ายน้ำของตัวเองแล้ว
เมื่อฉันบอกลูก ๆ เรื่องนี้  พวกเธอปลาบปลื้มมาก  พวกเธอมีความสุขกับการคิดว่าจะจัดกระเป๋าสีสดใสของตัวเองอย่างไรดี ลูกสาวคนโตเสนอให้ซื้อขวดแชมพูและครีมนวดผมเล็ก ๆ จะได้ไปอาบน้ำกันเองหลังการฝึก ชั่วแวบหนึ่ง ฉันรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที ถ้าลูกลืมชุดว่ายน้ำไว้ในห้องน้ำล่ะ ถ้าลูกสบู่เข้าตาจะเอาผ้าที่ไหนเช็ด แล้วใครจะบิดชุดว่ายน้ำให้
แล้วฉันก็รู้คำตอบว่า ลูก ๆ ก็จะทำกันเองน่ะแหล่ะ
ลูก ๆ ของฉันไม่ใช่แค่ทำได้ แต่พวกเธอพร้อมแล้วที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเอง ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหลบฉากและปล่อยพวกเธอไป
ตลอดสามสัปดาห์ที่ลูก ๆ เอากระเป๋าไปเอง ไปอาบน้ำกันเอง ฉันก็ต้องประหลาดใจว่าไม่มีใครลืมชุดชั้นในสะอาด ๆ ไม่มีใครมีปัญหากับการเช็ดตัวให้แห้ง และไม่มีใครลืมชุดว่ายน้ำไว้ในห้องอาบน้ำเลย และต่อให้เกิดเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นมา ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ก็แค่ไม่สะดวกนิดหน่อย แล้วก็ต้องแก้ปัญหาไปจนได้ ลูกอาจจะต้องควักกระเป๋าตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกสักหน่อย
ยิ่งกว่านั้น ฉันยังได้สังเกตเห็นว่า เมื่อเด็ก ๆ ถือกระเป๋าไปกันเอง และอาบน้ำเองโดยไม่ต้องให้แม่ช่วย ความเป็นตัวของตัวเองในเรื่องอื่นก็ฉายชัดขึ้นมาด้วย จริง ๆ แล้ว มันทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะไปสมัครเป็นผู้จับเวลา ซึ่งหมายความว่าเด็ก ๆ จะต้องรับผิดชอบการไปเข้ากลุ่มของตัวเองเมื่อมีการประกาศเรียก ชั่วขณะหนึ่งที่ความกังวลพลุ่งพล่านขึ้นมา ถ้าลูกไปไม่ทันล่ะ เกิดลูกสาวคนเล็กมัวแวะข้างทางเพราะเจอเต่าทองหรือไอศกรีมแท่งล่ะ แล้วใครจะช่วยลูกสวมหมวกว่ายน้ำกัน
ดังนั้นเมื่อมีประกาศเรียกกลุ่มของลูกสาวคนเล็ก ฉันก็ได้แต่มองอย่างกระวนกระวายอยู่ตรงเลน 5 ตำแหน่งที่ฉันเป็นผู้จับเวลาอยู่ ทันใดนั้น ลูกสาวทั้งสองของฉันก็กระโดดขึ้นมาแล้วไปเอาหมวกว่ายน้ำกับแว่นกันน้ำอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอนแรกเก็บผมไม่สำเร็จ พี่สาวคนโตก็พยายามจนสำเร็จได้ เสร็จแล้วก็พากันเดินเลาะริมสระไปอย่างมั่นใจเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
ก่อนที่ลูกคนเล็กจะเดินเข้าไป สองพี่น้องก็แปะมือไฮไฟว์กัน
โชคดีนะพี่สาวบอกน้อง
และแม้ว่าพี่จะไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เธอก็ยังยืนอยู่ครู่หนึ่ง ดูว่าน้องเข้าไปถูกที่แล้ว ฉันไม่เคยสอนลูกให้ทำอย่างนั้น เธอทำของเธอเอง
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ลูกคนเล็กก็ขึ้นไปยืนบนแท่นและกระโดดพุ่งหลาวลงน้ำ หลังจากที่เริ่มเรียนจากในน้ำมาตลอด จากขอบสระที่ฉันยืนอยู่ ฉันเห็นหน้าลูกได้อย่างชัดเจน หน้าของลูกดูเบิกบานและภาคภูมิใจแบบปิดไม่มิด เมื่อพุ่งลงไปที่เลน 3
ตอนลูกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาและรับริบบิ้นอย่างภาคภูมิใจ ฉันก็เชียร์แล้วเชียร์อีก แต่ลูกไม่ได้ยิน ลูกไม่ได้มองมาทางฉันด้วยซ้ำ เพราะพี่สาวของเธอยืนอยู่ตรงนั้น  รอกอด ชื่นชม และร่วมฉลองกับเธออยู่

แล้วน้ำตาฉันก็พุ่งออกมาเป็นสาย
ไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมาดูฉัน
ไม่ใช่เพราะต่อจากนี้ไป ฉันจะเป็นที่ต้องการน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ ตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งฉัน
ฉันร้องไห้เพราะฉันได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ฉันได้เห็นว่าลูก ๆ จะใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่
และฉันก็รู้ว่าจะเห็นช่วงเวลาแบบนี้ได้จากระยะไกลเท่านั้น ฉันแอบปลื้มใจอยู่เงียบ ๆ เมื่อถอยออกมา ดูลูก ๆ ทะยานไปข้างหน้าพร้อม ๆ ไปกับความรักและแรงสนับสนุนจากฉันบนไหล่เล็ก ๆ ที่มั่นคงของพวกเค้า
*****************************************************************************************************************************************
เมื่อสักปีที่ผ่านมา ฉันจำได้ว่าฉันกังวลเกี่ยวกับการที่ลูกพึ่งตัวเองไม่ได้ ทั้งการดูแลข้าวของและเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อฉันป่วยและสามีก็ไม่อยู่ เด็ก ๆ ไม่ใช่เพียงแต่ดูแลฉัน แต่ยังดูแลกันเองและทำงานบ้านต่าง ๆ ที่ฉันเคยทำให้ด้วย ฉันจึงได้ตระหนักว่าที่ฉันมองว่าเด็ก ๆ พึ่งพาตัวเองไม่ได้นั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพราะขาดโอกาสต่างหาก ประสบการครั้งนั้นช่วยจุดประกายให้ฉันก้าวต่อไปในขั้นตอนของการปล่อยวาง เมื่อเด็ก ๆ ได้มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ก็มีเรื่องผิดพลาดและยุ่งเหยิงมากขึ้น แต่อีกอย่างที่มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ ลูก ๆ มีความเชื่อมั่นในตัวเองและมีความสามารถในการตัดสินใจได้มากขึ้นและดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันจึงตระหนักว่าถ้าฉันต้องการให้ลูกรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเองได้ ฉันก็จะต้องหลบไปข้าง ๆ และปล่อยให้ลูก ๆ ได้ตัดสินใจเอง

Thursday, June 20, 2013

#เมื่อฉันหยุดตะคอกใส่ลูก

 

คุณไม่ใช่คนเดียวที่เคยตะคอกใส่คนที่คุณรักมากที่สุด แต่นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุด

ฉันปลาบปลื้มกับข้อความที่ลูกเขียนให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นลายมือหวัด ๆ ที่เขียนอยู่บนกระดาษโพสต์อิท หรือคัดมาอย่างสวยงามบนกระดาษตีเส้น แต่กลอนที่ลูกสาววัย 9 ขวบเขียนให้ฉันในวันแม่นั้นมีความหมายมากเป็นพิเศษ จริง ๆ แล้วแค่อ่านบรรทัดแรกก็ทำให้ฉันสะดุดลมหายใจพร้อมกับน้ำตาไหลอาบหน้า

“สิ่งสำคัญเกี่ยวกับคุณแม่ของฉันคือ คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา” คุณเห็นมั้ยคะ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไปหรอก

ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ ช่วงที่ชีวิตของฉันกำลังเต็มไปด้วยสารพัดเรื่องกวนใจ ฉันเป็นจอมตะคอก ไม่ได้บ่อยมากหรอก แต่รุนแรงมาก เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพองลมพร้อมแตก ที่อยู่ ๆ ก็ระเบิดออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ต้องตระหนกอกสั่นด้วยความกลัว

แล้วลูกวัย 3 ขวบกับ 6 ขวบของฉันทำอะไรหรือที่ทำให้ฉันเสียความควบคุมตัวเอง เพราะเธอยังจะวิ่งกลับไปเอาสร้อยลูกปัดอีก 3 เส้นกับแว่นกันแดดสีชมพูอันโปรดของเธอทั้ง ๆ ที่เราสายมากแล้วงั้นเหรอ หรือว่าเธอพยายามจะเทซีเรียลด้วยตัวเองแล้วเลยทำหกเลอะเคาท์เตอร์ทั้งกล่อง หรือที่เธอทำตุ๊กตาแก้วรูปนางฟ้าอันโปรดของฉันตกเป็นรอยทั้ง ๆ ที่ฉันห้ามไม่ให้จับไว้แล้ว หรือเมื่อเธอไม่ยอมนอนเมื่อฉันต้องการเวลาเงียบ ๆ เพื่อพักผ่อนอย่างเหลือเกิน หรือเมื่อลูกทั้งสองแข่งกันเรื่องไร้สาระอย่างใครจะออกจากรถได้ก่อน หรือใครจะได้ไอศกรีมก้อนใหญ่กว่ากัน

ใช่แล้ว ก็เรื่องพวกนี้แหละ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความประพฤติและความคิดของเด็กปกติธรรมดานี่แหล่ะที่ก่อกวนจนฉันลืมตัวเสียความควบคุม

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ ฉันเกลียดตัวเองในช่วงนั้นจริง ๆ มันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงอยากจะกรีดร้องใส่ลูกตัวน้อย ๆ ที่แสนมีค่าทั้งสองคนที่ฉันรักยิ่งกว่าชีวิต

ฉันจะเล่าให้คุณฟัง

สารพัดเรื่องที่ทำดึงความสนใจของฉันไป

ใช้โทรศัพท์มากเกินไป รับปากว่าจะทำโน่นนี่มากเกินไป มีรายการเรื่องที่ต้องทำมากมายหลายหน้า และความต้องการที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบก็กำลังกัดกินตัวฉัน และการระเบิดอารมณ์ใส่คนที่ฉันรักก็เป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้

มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ฉันจะต้องล้มเหลวในเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วฉันก็เลยล้มไม่เป็นท่าอยู่เบื้องหลังประตูที่ปิดตาย ใส่คนที่มีความหมายมากที่สุดของฉัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง

ลูกสาวคนโตของฉันกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง พยายามจะหยิบอะไรสักอย่างบนชั้นวางอาหาร แล้วเธอก็พลาดทำถุงข้าวตกลงไปบนพื้นทั้งถุง ขณะที่เมล็ดข้าวตกกระจายไปเต็มพื้นเหมือนห่าฝน ลูกสาวของฉันก็มีน้ำตาเต็มตา และนั่นก็คือตอนที่ฉันได้เห็น เห็นความกลัวในดวงตาของเธอขณะที่กำลังนั่งตัวแข็งรอการประณามอย่างรุนแรงจากฉัน

ลูกกลัวฉัน  ฉันรับรู้เรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณ ลูกวัย 6 ขวบของฉันกลัวปฏิกิริยาของฉันจากความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจ

ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต และไม่อยากให้ลูกเติบโตมากับแม่แบบนี้ด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็จัดการกับชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดทำให้ฉันตกลงใจที่จะกำจัดสิ่งที่แย่งความสนใจทั้งหลายออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเท่านั้น  นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีครึ่งมาแล้ว  สองปีครึ่งที่ฉันค่อย ๆ ลดสิ่งกวนใจทั้งหลายลง สองปีครึ่งที่ปลดปล่อยตัวเองจากมาตรฐานความสมบูรณ์แบบที่เป็นไปไม่ได้ และแรงกดดันจากสังคมว่าจะต้อง “ทำได้ทุกอย่าง” หลังจากที่ฉันได้กำจัดสิ่งกวนใจทั้งภายในภายนอกออกไป ความโกรธและความเครียดที่ฝังตัวอยู่ก็ค่อย ๆ สลายไป เมื่อภาระน้อยลง ฉันก็สามารถจัดการกับความพลาดพลั้งหรือความผิดของลูกได้อย่างสงบ มีเหตุผล และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

ฉันพูดได้ว่า “ก็แค่ช็อกโกแลตหก ลูกเช็ดแล้วเคาท์เตอร์ก็จะสะอาดเหมือนเดิมนั่นล่ะ”

(แทนที่จะถอนใจและกรอกตาอย่างโมโหโทโส)

ฉันเสนอที่จะช่วยถือไม้กวาดระหว่างที่เธอเก็บขนมที่หกเต็มพื้น

(แทนที่จะยืนค้ำหัวมองเธอด้วยความรำคาญและไม่พอใจ)

ฉันช่วยลูกคิดว่าลูกน่าจะเอาแว่นตาไปวางไว้ที่ไหน

(แทนที่จะทำให้เธออับอายด้วยการว่าลูกว่าไม่รู้จักรับผิดชอบ)

และเมื่อมีช่วงเวลาที่เกิดความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดและลูกก็ร้องไห้ไม่หยุด ฉันจะเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู ให้เวลาตัวเองหายใจลึก ๆ แล้วเตือนตัวเองว่าลูกยังเป็นเด็กอยู่ และเด็กก็ทำผิดได้เหมือนกับฉันเหมือนกัน

เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวที่เคยฉายชัดอยู่ในดวงตาของลูกเมื่อเค้ามีปัญหาก็เริ่มหายไป โล่งอกไปที ฉันได้กลายเป็นที่พักใจของลูก ๆ เมื่อมีปัญหา แทนที่จะเป็นศัตรูที่เด็ก ๆ อยากจะวิ่งหนีไปซ่อน

ฉันไม่แน่ใจว่าเคยคิดอยากจะเขียนเล่าเรื่องนี้รึเปล่า ถ้าไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างที่เกิดเมื่อบ่ายวันจันทร์ ตอนนั้นฉันรู้สึกเซ็งชีวิตอย่างแรงและเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว ฉันกำลังเขียนบทสุดท้ายเพื่อปิดต้นฉบับหนังสือที่กำลังเขียนอยู่ แล้วคอมพิวเตอร์ก็ค้างไปเฉย ๆ แล้วบทความ 3 บทสุดท้ายที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วก็หายวับไปกับตา ฉันพยายามจะดึงข้อมูลล่าสุดที่พิมพ์ตามที่ร่างไว้กลับมาอยู่พักหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ พยายามดึงข้อมูลที่แบ็คอัพไว้ ก็ไม่ได้อีก เมื่อฉันรู้ว่าฉันไม่มีทางดึงข้อมูลกลับมาได้แล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่จริง ๆ แล้วอยากจะอาละวาดมากกว่า

แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะถึงเวลาต้องไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนไปฝึกว่ายน้ำแล้ว ฉันค่อย ๆ ปิดแล็ปท็อปด้วยความอดกลั้นอย่างที่สุด และเตือนตัวเองว่าเสียข้อมูลไปแค่ไม่กี่บทก็ยังดี แล้วตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

เมื่อลูก ๆ ขึ้นรถก็รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติได้ทันที และถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นอะไรรึเปล่าคะแม่”

ฉันรู้สึกอยากจะตะโกนออกมาว่า “ฉันเสียงานที่ใช้เวลาทำตั้ง 3 วันไปแล้ว”

ฉันอยากจะทุบพวงมาลัยรถเพราะตอนนี้ฉันอยากจะกลับไปนั่งแก้งานมากกว่าจะมามัวขับรถพาลูกไปว่ายน้ำ จัดการกับชุดว่ายน้ำ หวีผมยุ่ง ๆ ทำอาหารเย็น ล้างจาน แล้วก็พาลูกเข้านอนอยู่อย่างนี้

แต่ฉันก็เพียงพูดอย่างสงบว่า “แม่ยังไม่อยากพูดถึงมันตอนนี้ เรื่องที่แม่เขียนเพิ่งหายไปแล้วแม่ก็ไม่อยากพูดเพราะแม่หงุดหงิดมาก

“พวกเราเสียใจด้วยค่ะ” ลูกสาวคนโตพูด แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ๆ กันไปตลอดทางเหมือนรู้ว่าฉันต้องการความสงบ ฉันและลูก ๆ ทำกิจกรรมกันไปตลอดวัน แม้ว่าฉันจะเงียบกว่าปกติ แต่ฉันก็ไม่ได้ตะคอก และฉันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่คิดถึงเรื่องหนังสือ

และแล้วก็เกือบจะหมดวัน ฉันพาลูกคนเล็กเข้านอนแล้ว และกำลังนอนคุยอยู่กับลูกสาวคนโต

แล้วลูกก็ถามขึ้นมาเงียบ ๆ ว่า “แม่ว่าแม่จะดึงข้อมูลกลับมาได้มั้ยคะ”

ตอนนั้นฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เสียไป ฉันรู้ดีว่าฉันเขียนใหม่ได้ แต่เป็นเพราะฉันกำลังจะได้ปล่อยวางตัวเองจากความความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดจากการเขียนและแก้ไขเรื่องเสียที แต่แล้วความสำเร็จที่กำลังจะเอื้อมถึงก็ถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ฉันผิดหวังมาก

แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อลูกเอื้อมมือมาลูบผมฉันแล้วใช้คำพูดที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า “บางทีคอมพิวเตอร์ก็น่าโมโหนะคะ” และ “หนูไปช่วยดูให้ก็ได้นะคะว่าจะแก้ข้อมูลกลับมาได้รึเปล่า” และท้ายสุดก็พูดว่า “แม่ทำได้อยู่แล้วค่ะ แม่เป็นนักเขียนที่เก่งที่สุดที่หนูรู้จัก” และ “หนูจะช่วยแม่เท่าที่ทำได้นะคะ”

ในเวลาที่ฉันมี “ปัญหา” ลูกก็อยู่ตรงนั้น เป็นผู้ให้กำลังใจที่อดทนและเห็นอกเห็นใจโดยไม่คิดจะซ้ำเติมเมื่อฉันล้ม

 

ลูกของฉันคงจะไม่ได้เรียนรู้วิธีปลอบด้วยความเห็นใจอย่างนี้ถ้าฉันยังเป็นจอมตะคอก เพราะการแผดเสียงเป็นการปิดการสื่อสาร มันทำลายความสัมพันธ์ มันแยกคนออกจากกัน แทนที่จะทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เรื่องสำคัญคือ... คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา”

ลูกของฉันเขียนถึงฉันแบบนั้น ผู้หญิงที่ได้ก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากที่ไม่น่าภาคภูมิใจ แต่เธอได้เรียนรู้แล้ว และจากคำพูดของลูก ฉันก็เห็นว่ายังมีความหวังสำหรับคนอื่นด้วย

เรื่องสำคัญก็คือ... ยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดแผดเสียง

เรื่องสำคัญก็คือ... ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าที่จะมัวโมโหกับอาหารที่หกเลอะเทอะหรือรองเท้าที่วางผิดที่ผิดทาง

เรื่องสำคัญก็คือ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน วันนี้ก็เป็นวันใหม่แล้ว

วันนี้ เราเลือกได้ที่จะตอบสนองอย่างสันติ

และเมื่อทำอย่างนั้น เราก็จะสอนลูก ๆ ของเราได้ว่า สันติภาพนั้นสามารถสร้างสะพานได้ สะพานที่จะช่วยพาเราก้าวผ่านพ้นปัญหาไป

Rachel Macy Stafford: The Hands Free Revolution


 #ปรับพฤติกรรมพ่อแม่ #สานสัมพันธ์ #เลิกตะคอกใส่ลูก

 

#แก้ปัญหาลูกนอนยาก

#ข้อแนะนำสำหรับกล่อมเด็กทารกและเด็กวัยหัดเดินให้นอนแบบพ่อแม่เปี่ยมเมตตา โดย PhD in Parenting


บทความนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนที่ต้องการให้ลูกหลับดีขึ้นโดยไม่ต้องการใช้วิธีปล่อยให้ร้องจนหลับ บางอย่างเป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้มาจากประสบการณ์ บางอย่างก็ได้มาจากการค้นคว้าหาข้อมูล ผู้เขียนไม่ได้ใช้ทุกวิธี เพราะไม่ได้รู้สึกว่าลูกมีปัญหาในการนอน ไม่ใช่ว่าลูกจะไม่เคยตื่นกลางดึกเลย หรือจะไม่เคยมีปัญหานอนยากเลย แต่โดยทั่วไปแล้ว ทั้งลูกและผู้เขียนก็ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ

 

1. กำหนดกิจวัตรประจำวันก่อนนอนที่เงียบสงบ
เด็ก ๆ ต้องการเวลาที่จะทำตัวให้สงบพร้อมเข้านอน ถ้ามีการเตรียมตัวนอนที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็จะเป็นการส่งสัญญาณให้เด็กรับรู้ว่าได้เวลานอนแล้ว เช่น การเปลี่ยนมาใส่ชุดนอน แปรงฟัน อ่านหนังสือก่อนนอน ให้นมหรือกล่อมนอน ฯลฯ พยายามที่จะทำขั้นตอนเหล่านี้แบบเรียงลำดับเหมือนเดิมจะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร และเรียนรู้ที่จะค่อย ๆ สงบลงผ่านขั้นตอนต่าง ๆ นั้น คุณอาจมีกิจวัตรมากกว่า 1 รูปแบบได้ เช่น แบบหนึ่งสำหรับช่วงวันทำงาน อีกแบบหนึ่งสำหรับวันหยุด แบบหนึ่งสำหรับพ่อ และอีกแบบเป็นของแม่ การมีรูปแบบกิจวัตรประจำวันมากกว่า 1 แบบนับเป็นผลดีที่จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าขั้นตอนบางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป เช่น พ่อหรือแม่ไม่อยู่ คุณไปหาเพื่อน หนังสือเล่มโปรดหายไป ฯลฯ แล้วก็ต้องสร้างบรรยากาศให้เงียบสงบสมกับเป็นช่วงเวลานอน เช่น ปิดไฟสว่าง ๆ ให้หมด (เปิดไฟสลัว ๆ จะดีมาก) ปิดทีวี งดเสียงดังอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนถึงเวลานอน (จะให้ดีคือ ควรปิดทีวีหลาย ๆ ชั่วโมงก่อนนอน ถ้าคุณอนุญาตให้ลูกดูทีวีได้) ลองพิจารณาใส่การนวดไว้ในกิจวัตรก่อนนอนดู

2. ให้เด็ก ๆ ได้รับอากาศบริสุทธิ์และออกกำลังกายมาก ๆ
สำหรับลูก ๆ ของผู้เขียนและเด็ก ๆ หลายคนที่ผู้เขียนรู้จัก เรื่องนี้คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเด็ก ๆ จะนอนหลับดีในตอนกลางคืนหรือไม่ เมื่อลูกชายของผู้เขียนอยู่ในวัยหัดเดินและนอนหลับยากมาก ๆ เค้าก็ใช้เวลาวิ่งเล่นนอกบ้านวันละหลายชั่วโมงอยู่แล้ว แต่เมื่อผู้เขียนเพิ่มเวลาเล่นนอกบ้านให้เป็นเท่าตัว การนอนหลับของลูกก็ดีขึ้นแบบทวีคูณ แม้แต่ในช่วงอากาศหนาว (ผู้เขียนอยู่ประเทศแคนาดา) ผู้เขียนก็ยังพยายามให้ลูกเล่นนอกบ้านทุกวัน (แต่งตัวให้หนาแล้วออกไปข้างนอกใกล้ ๆ หลาย ๆ รอบถ้าจำเป็น) แล้วก็หาที่ให้พวกเค้าได้ออกกำลัง (อาจเป็นสนามเด็กเล่นในร่ม หรือศูนย์เด็กเล่น อาจไปเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์หรือตามห้างหรือที่ไหน ๆ ที่เด็ก ๆ จะเดินได้นาน ๆ) ถ้าลูกเป็นเด็กกระฉับกระเฉงและคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ก็ให้ลองที่ 4 ชั่วโมงดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ถึงอย่างไรเด็ก ๆ ของเราก็จำเป็นต้องได้รับอากาศบริสุทธ์และได้ออกกำลังอยู่ดี ดังนั้น ไม่ว่ามันจะช่วยเรื่องนอนหรือไม่ ก็เป็นสิ่งดีที่ควรทำ

3. ดูเรื่องอาหารของลูกด้วย
เป็นไปได้ว่าบางอย่างที่ลูกทานเข้าไปเป็นตัวทำให้มีปัญหาในการนอน ทารกที่ดื่มนมผสมบางคนอาจมีความไวต่อนมผสมบางสูตรเป็นพิเศษ ทารกที่เริ่มอาหารเสริมแล้ว อาจมีอาการไวหรือแพ้อาหารบางอย่างทำให้นอนหลับยากได้ และอาหารบางชนิดก็ทำให้นอนหลับไม่ดีถ้าทานตอนใกล้เวลานอนมากเกินไป ซึ่งได้แก่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคาเฟอีน (ช็อกโกแลต น้ำอัดลม ฯลฯ) อาหารที่มีน้ำตาล หรือมีการแต่งสีแต่งกลิ่น มากอาหารที่มีโปรตีนสูง และมีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (พวกแป้งขัดขาว ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาล – แอดมิน) มาก คุณควรเปลี่ยนไปเตรียมอาหารที่ช่วยให้ลูกหลับได้ดีขึ้นแทน เช่น ธัญพืช ผักและผลไม้ นอกจากนี้ อาหารบางอย่างยังมีทริปโตเฟน (สารชวนง่วง) ทำให้เหมาะสำหรับการเป็นอาหารมื้อเย็น (แม้ว่าบางอย่างจะเป็นอาหารพวกโปรตีน) เช่น ไก่งวง ทูน่า ถั่วบางประเภท (ห้ามให้เด็กทารก) เนยแข็งสดพวกคอทเทจ ชีส เนยแข็งแบบแข็ง โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไข่ กล้วย และ อะโวคาโด

4. ดูอาหารที่แม่ทานด้วยว่าส่งผลต่อลูกหรือไม่
ถ้าคุณให้นมลูก ก็ควรดูด้วยว่า อาหารที่คุณรับประทานเข้าไปส่งผลต่อการนอนของลูกหรือเปล่า โดยทั่วไป แม่ให้นมสามารถทานอะไรก็ได้ แต่เด็กอ่อนบางคนก็ไวต่ออาหารบางอย่างที่แม่ทาน อาหารพวกนม เนย มักตกเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้ แล้วก็ยากที่จะงดเว้นได้ตลอด (เพราะเป็นส่วนประกอบในอาหารสารพัดอย่าง บางทีก็ดูยากว่ามีหรือไม่) มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้โดย Kellymom (เพจนมแม่ แบบแฮปปี้มีกล่าวถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ – แอดมิน) นอกจากอาหารแล้ว คาเฟอีนและอัลกอฮอล์ก็ตกเป็นจำเลยด้วยเหมือนกัน แม้จะถือว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการให้นม แต่ก็อาจมีผลต่อการนอนของลูกได้ คาเฟอีนที่คุณรับเข้าไปอาจทำให้ลูกตาโตเป็นพิเศษได้ (แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องงูกินหาง เพราะถ้าคุณหลับไม่ดี คุณก็มักจะดื่มกาแฟเข้าไปอีก) ส่วนอัลกอฮอล์ จากการศึกษาผลกระทบที่อัลกอฮอล์มีต่อการนอนหลับแล้ว พบว่าเด็กอ่อนจะนอนหลับได้แย่ลงในช่วง 3.5 ชั่วโมงหลังจากดื่มนมแม่ แม้จะมีปริมาณอัลกอฮอล์ในน้ำนมเพียงน้อยนิด

5. นอนกับลูกดีมั้ย
การนอนกับลูกไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่สำหรับหลาย ๆ ครอบครัว (รวมทั้งของผู้เขียนด้วย) นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนได้พักผ่อน มีข้อดีมากมายเกี่ยวกับการนอนด้วยกัน (http://www.phdinparenting.com/blog/2009/1/9/benefits-of-co-sleeping.html แล้วก็มีกฎความปลอดภัย (http://www.phdinparenting.com/blog/2009/1/11/co-sleeping-safety.html) ที่ต้องคำนึงถึง ถ้าคุณอยากจะนอนกับลูก

6. นอนกลางวันเป็นเวลา
การหลับดีจะช่วยให้หลับดีต่อไป พ่อแม่หลายคนคิดว่าถ้าเด็กไม่นอนตอนกลางคืน ควรจะพยายามไม่ให้เด็กหลับกลางวัน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด จริง ๆ แล้วพ่อแม่ควรจะจัดให้ลูกนอนกลางวันอย่างสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร แต่การนอนกลางวันรอบสุดท้ายไม่ควรเย็นจนเกินไป จะได้ไม่ไปกวนเวลานอนตอนกลางคืน

7. ทำให้สภาพแวดล้อมในการนอนน่านอน
ไม่ว่าจะให้ลูกนอนที่ไหน ทำให้ตรงนั้นเป็นที่ที่น่านอน ไม่ใช่ว่าต้องมีผ้าห่มและหมอนเยอะแยะ (ซึ่งออกจะอันตรายไปหน่อย) แต่ให้แต่งตัวลูกให้เป็นชุดใส่สบาย เหมาะกับอุณหภูมิในห้อง อาจจะมีเสียงกล่อม (white noise) และห้องนอนจะต้องปลอดควันบุหรี่ อย่าให้คนที่สูบบุหรี่นอนห้องเดียวกับเด็กทารก จะให้ดีควรทำให้ทั้งบ้านเป็นบ้านปลอดบุหรี่

8. ปรับความคาดหวังของตัวคุณเอ
ผู้เขียนเกลียดมากที่ชอบพูดกันเรื่องนอนหลับตลอดคืน สังคมของเรากดดันพ่อแม่ในเรื่องนี้มากเกินไป และไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลว่าปกติแล้วเด็กทารกนอนกันอย่างไร ขอให้มีเหตุผลและอดทนกับลูก ขอให้เข้าใจว่าเด็กทุกคนไม่เหมือนกัน การที่เด็กเคยหลับดี ก็ไม่ได้แปลว่าจะหลับดีไปตลอด เพราะถ้าเด็กกำลังฟันขึ้น อยู่ในช่วงโตแบบพรวดพราด ป่วย กำลังมีพัฒนาการบางอย่าง หิว ออกกำลังไม่พอ หรือไม่ได้รับอากาศสดชื่นเพียงพอ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัวมาตลอดวัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนทำให้มีปัญหาในการหลับได้ทั้งนั้น

9. อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน
ถ้าไม่มีอะไรในบทความนี้ช่วยคุณได้ หรือคุณได้ลองทุกอย่างที่กล่าวถึงไปหมดแล้ว ก็ขอให้ลองอ่านหนังสือที่มีคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย คุณอาจจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือพวกนี้บ้างก็ได้ เช่น หนังสือชุด "No-Cry" ของ Elizabeth Pantley ซึ่งมี The No Cry Sleep Solution, The No Cry Sleep Solution for Toddlers and Preschoolers และ The No Cry Nap Solution ซึ่งมีคำแนะนำและแนวคิดที่ดีมาก ผู้เขียนใช้หนังสือพวกนี้ทั้งกับตัวเองและใช้ช่วยคนอื่น ๆ อีกมาก แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ทำบันทึกประจำวันหรืออะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวมากอย่างที่หนังสือแนะนำ ผู้เขียนมองว่ามันทำให้เผลอคิดว่าแผนการนอนเป็นการฝึกนอนได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วแนวคิดที่แนะนำคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการนอนอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นอย่าล้มเลิกเพียงเพราะเรื่องการทำบันทึกฟังดูวุ่นวายหรือไม่เหมาะกับคุณ แค่เอาคำแนะนำและแนวคิดในหนังสือที่เหมาะกับครอบครัวและลูกของคุณมาใช้ก็เพียงพอแล้ว

ยังมีหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่เน้นเรื่องการช่วยลูกนอนด้วยวิธีที่อ่อนโยน ได้แก่
o The Happiest Baby on the Block: The New Way to Calm Crying and Help Your Newborn Baby Sleep Longer (โดย Harvey Karp)
o Three in a Bed: The Benefits of Sleeping with Your Baby (โดย Deborah Jackson)
o Good Nights: The Happy Parents' Guide to the Family Bed (and a Peaceful Night's Sleep) (โดย Maria Goodavage และ Jay Gordon)
o Sleeping with Your Baby: A Parent's Guide to Cosleeping (โดย James J. McKenna)
และยังมีลิงค์ไปยังบทความและวิดีโอเกี่ยวกับเทคนิคการนอนอยู่ในบล็อก เรื่อง Parenting Baby To Sleep ของเพจ I Need Sleep Now

อีกเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนอยากจะฝากไว้คือ ไม่มีหนังสือหรือบล็อกใด ๆ ที่จะมีวิธีแก้ปัญหาการนอนของทารกหรือเด็กหัดเดินได้แบบเบ็ดเสร็จ เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน

10. แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน
ลูก ๆ ของเราจะเป็นเด็กอยู่แค่ไม่นานนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับการตื่นกลางดึกหรือการอดหลับอดนอน และมันก็เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดสำหรับพ่อแม่หลาย ๆ คน ดังนั้นจึงควรระลึกไว้เสมอว่า แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน ทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องสอนให้ลูกกล่อมตัวเองจนหลับด้วยวิธีปล่อยให้ร้อง เพราะเค้าจะค่อย ๆ เรียนรู้เรื่องนั้นได้เอง ระหว่างนี้ ถ้าเทคนิคทั้งหลายใช้ไม่ได้ และคุณรู้สึกหงุดหงิดก็ควรลองหาตัวช่วย คู่สามีภรรยาควรจะช่วยเหลือกันและหาทางจัดการเรื่องการเลี้ยงลูกตอนกลางคืนทุกเมื่อที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ คุณอาจหาคนอื่นมาช่วยช่วงกลางวันเพื่อที่คุณจะได้มีเวลางีบนาน ๆ เวลาที่ไม่ไหวจริง ๆ
(http://www.phdinparenting.com/blog/2009/2/28/gentle-baby-and-toddler-sleep-tips.html)

#ลูกนอนยาก #เคล็ดลับช่วยลูกหลับสบาย #อาหารและการนอน

#ฝึกลูกนอนด้วยตัวเอง

#ลูกไม่ยอมนอน เชิญทางนี้#
(คัดลอกบางส่วนมาจาก Two Thousand Kissed a Day: Gentle Parenting Through the Ages and Stages โดย L.R. Knost)
@ไม่ยอมนอน โดย ดร. เซียร์ส@
(http://www.askdrsears.com/topics/sleep-problems/faqs-about-sleep-problems/fights-sleep)
“พ่อแม่มักจะอยากให้ลูก ๆ ไปนอนเร็วกว่าที่จำเป็น คุณบังคับให้เด็กหลับไม่ได้ ทางที่ดีควรสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสำหรับการนอน แล้วเด็กก็จะหลับได้เอง”

@ข้อแนะนำสำหรับกล่อมเด็กทารกและเด็กวัยหัดเดินให้นอนแบบอ่อนโยน โดย PhD in Parenting@
(http://www.phdinparenting.com/blog/2009/2/28/gentle-baby-and-toddler-sleep-tips.html)
“จงมีเหตุผลและอดทนกับลูก ขอให้เข้าใจว่าเด็กทุกคนไม่เหมือนกัน การที่เด็กเคยหลับดี ก็ไม่ได้แปลว่าจะหลับดีไปตลอด เพราะถ้าเด็กกำลังฟันขึ้น อยู่ในช่วงโตแบบพรวดพราด ป่วย กำลังมีพัฒนาการบางอย่าง หิว ออกกำลังไม่พอ หรือไม่ได้รับอากาศสดชื่นเพียงพอ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัวมาตลอดวัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนทำให้มีปัญหาในการหลับได้ทั้งนั้น”

@สามคนบนเตียง ทำไมจึงควรนอนกับลูก โดย peaceful parenting@
(http://www.drmomma.org/2009/10/three-in-bed-why-you-should-sleep-with.html)
“12 ปีที่แล้ว ใคร ๆ ต่างบอกว่าฉันจะต้องเสียใจที่นอนกับลูก ฉันไม่รู้จะบอกพวกเค้าอย่างไรดี แต่ฉันชอบช่วงเวลาเลี้ยงลูกตอนกลางคืนมาก อาจจะมากที่สุดสำหรับการเป็นแม่มือใหม่เลยด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกผ่อนคลายตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่ต้องรีบทำให้อะไรให้เสร็จ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือผู้ประสงค์ดีทั้งหลายมาบอกว่าฉันทำอะไรผิด มีแค่ฉันกับลูกและเวลากลางคืนเท่านั้น”

@จากเตียงไปเข้าอู่ โดย ดร.เซียร์ส@
(http://www.askdrsears.com/topics/sleep-problems/faqs-about-sleep-problems/bed-crib-moving-baby)
“จำไว้ว่าเป้าหมายในการเลี้ยงดูลูกตอนกลางคืนนั้นคือสร้างทัศนคติที่ดีในการนอน ลูกจะได้เรียนรู้ว่าการนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดี และไม่มีอะไรต้องกลัว การหลับไปข้าง ๆ พ่อแม่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากวันที่แสนยุ่งไปเป็นคืนที่เงียบสงบและผ่อนคลาย”

@ความหวาดกลัวยามค่ำคืน โดย ดร.เซียร์ส@
(http://www.askdrsears.com/topics/sleep-problems/night-terrors)
“คุณตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงกรีดร้องของลูก คุณวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นและเห็นลูกนั่งตัวสั่นเทา ตาลอยเคว้งอยู่บนเตียง คุณพยายามจะปลุกลูกแต่เค้าไม่ตอบสนอง เอาแต่กรีดร้อง คุณกลัวและไม่รู้จะทำอย่างไรดี”

กำลังมองหาวิธีที่อ่อนโยนในการทำให้ลูกนอนในที่ของตัวเองได้อยู่รึเปล่าคะ ลองดูวิธีนี้เป็นแนวทางนะคะ
1. วางฟูกไว้ข้างเตียงของคุณ ลงไปนอนที่นั่นกับลูก พอลูกหลับสนิทค่อยย้ายกลับมานอนเตียงของคุณเอง เมื่อลูกตื่น ชให้เอาลูกมานอนด้วยหรือไม่คุณก็กลับลงไปนอนกับลูก เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น (คุณอาจเริ่มจากนอนในเตียงตัวเองก่อน แล้วค่อยย้ายลูกไปนอนเตียงเล็กข้าง ๆ เมื่อลูกหลับก็ได้)
2. เมื่อคุณรู้สึกว่าลูกชินแล้ว ก็ค่อย ๆ เลื่อนฟูกให้อยู่ห่างเตียงมากขึ้น อาจชิดผนังหรืออยู่ปลายเตียงของคุณ ทำซ้ำวิธีการเดิม และยอมให้ลูกกลับมานอนด้วยหรือลงไปนอนกับลูกเมื่อลูกตื่น
3. ขั้นต่อไปคือย้ายฟูกไปไว้ในห้องของลูก และทำซ้ำวิธีการเดิม
4. เมื่อคุณรู้สึกว่าลูกรู้สึกสบายใจในห้องของตัวเองแล้ว คุณอาจจะอยู่ต่อจนลูกเกือบจะหลับ แล้วค่อยบอกลูกว่าคุณจะไปห้องน้ำ หรือไปแปรงฟัน (ขอให้ทำสิ่งที่คุณบอกว่าจะไปทำจริง ๆ) แล้วจะกลับมา กลับมาหาลูกเร็ว ๆ ลูกจะได้มั่นใจว่าเชื่อใจคุณได้ ถ้าลูกตามคุณออกไปหรือรู้สึกแย่ ให้ทิ้งช่วงไปก่อน แล้วค่อยลองขั้นตอนนี้ใหม่หลังจากผ่านไปสัก1-2 สัปดาห์
5. เมื่อลูกรู้สึกดีพอที่จะอยู่บนเตียงรอคุณกลับมา ให้ค่อย ๆ ทิ้งระยะที่ลูกจะอยู่คนเดียวให้นานขึ้น บอกลูกเสมอว่าคุณจะไปทำอะไร และให้ทำเฉพาะเท่าที่คุณบอก ทำเสร็จแล้วจะต้องกลับมาหาลูก ลูกจะได้รู้ว่าเชื่อใจคุณได้ และไม่คอยออกมาตามหาคุณ
6. เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ลูกจะเริ่มเคยชินและหลับไปเอง คุณก็สามารถเล่านิทาน กอดลูก แล้วบอกราตรีสวัสดิ์และปล่อยลูกไว้ โดยให้ความมั่นใจแก่ลูกว่าคุณจะกลับมาคอยดูลูกเรื่อย ๆ แน่นอนว่าคุณต้องกลับมาดูลูกตามที่พูดจริง ๆ
7. เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อใจ ยิ่งคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณพูด และให้ในสิ่งที่จำเป็นแก่ลูกมากเท่าไร ขั้นตอนนี้ก็จะยิ่งราบรื่นและง่ายดายทั้งต่อคุณและลูกมากเท่านั้น
http://www.littleheartsbooks.com/2011/08/25/toddler-fighting-sleep-heres-help/
ฝึกลูกนอนเอง ฝึกลูกนอนแยกเตียง แยกห้อง
 ลูกไม่นอน ทำอย่างไรดี
 

พลิกโลกได้ เริ่มจากใจดวงน้อย Copyright © 2011 Designed by Ipietoon Blogger Template and web hosting