Pages

Friday, December 26, 2014

#ผู้จัดการที่บ้านฉัน และ #คำพูดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

#ผู้จัดการที่บ้านฉัน และ #คำพูดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง



ทุก ๆ สองสามสัปดาห์ ฉันจะมานั่งสางปมผมสีบลอนด์สตรอว์เบอร์รีตรงท้ายทอยของลูกสาว เมื่อวันก่อน ระหว่างที่นั่งอยู่ตรงมุมอ่าง พยายามแก้เจ้าปมแสนดื้ออย่างเบามือ ลูกสาวก็นั่งเล่าเรื่องชีวิตในวันนั้นของลูกไป ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ปมเปียก ๆ ในมือฉันเป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนของความก้าวหน้า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การปล่อยวางสามารถทำได้ แม้ในหัวใจเจ้าปัญหา ความหวังของฉันคือ การที่ได้แบ่งปัน ว่าฉันเคยเป็นอย่างไร แล้วตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปแค่ไหน จะทำให้คนอื่น ๆ ได้รู้สึกถึงความหวังที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว บางที การได้อ่านเรื่องความก้าวหน้าที่ยุ่งเหยิงแต่จับต้องได้นี้ อาจทำให้คนอื่นได้เห็นผลงานของตัวเองด้วย  เรื่องของฉันเป็นอย่างนี้

เคยมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของฉัน ที่ฉันจะตะคอกสั่งมากกว่าที่จะพูดด้วยความรัก เมื่อฉันมีปฏิกิริยากับเรื่องไม่สะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ราวกับมันเป็นหายนะครั้งใหญ่ เมื่อนิสัยและพฤติกรรมธรรมดาของมนุษย์ทำให้ความดันเลือดของฉันพุ่งขึ้นจนถึงจุดอันตราย

แทนที่ฉันจะทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงสมาชิกในครอบครัว ฉันกลับใช้สิทธิ์ในการจัดการกับสมาชิกในครอบครัวของฉันเองจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

เวลาลูกสาวคนโตของฉันผู้เป็นศิลปิน จอมยุ่งเหยิง ผู้คอยไล่ตามความฝัน อยากจะทำโครงการอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน อย่างลองทำอาหารสูตรใหม่ แล้ววางหนังสือและนิตยสารตั้งเป็นกองสูงอยู่ข้างเตียง ก็จะต้องถูกมองด้วยสายตาแสดงความไม่เห็นชอบอยู่ทุกวัน

เวลาที่ลูกสาวคนเล็ก ผู้ชอบหยุดแวะดมดอกไม้ทุกดอกของฉันอยากจะรัดเข็มขัดให้ตุ๊กตาก่อนออกเดินทาง หรือใส่เครื่องประดับเข้าไปเต็มตัวก่อนที่จะเดินออกจากบ้าน แล้วก็เคลื่อนไหวช้าราวกับหอยทาก ก็จะได้ยินเสียงถอนใจเฮือก และคิ้วขมวดยุ่งแสดงความรำคาญใส่

สามีผู้ชอบความสนุกสนานและมีนิสัยสบาย ๆ ปล่อยให้แผนการวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็สามารถจะทำตัวสบาย ๆ ได้ตลอด ก็จะได้การตอบกลับเป็นความเงียบบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน

ผู้คนที่ฉันควรจะให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขล้วนมีคุณสมบัติที่น่าโมโห น่ารำคาญ แล้วยังทำให้แผนการที่ฉันวางไว้เป็นอย่างดีเสียหายอยู่เสมอ แผนการที่สนใจแต่เรื่องประสิทธิภาพ ความสมบูรณ์แบบ และการควบคุม

ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นแม่ หรือภรรยา หรือแม้แต่มนุษย์ธรรมดาที่ดีพอด้วยซ้ำ ฉันทำตัวเป็นผู้จัดการขี้โมโหที่คอยแต่จะสร้างบรรยากาศที่เป็นมลพิษ สถานที่ที่ทำให้ยากที่จะแสดงตัวในแต่ละวันและทุกวัน

ฉันรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ

เพราะขนาดฉันเองยังทนตัวเองไม่ได้เลย ฉันกลายเป็นคนไม่อดทน ที่ตื่นขึ้นมาโกรธและหงุดหงิด เพราะฉันปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับการจัดการในสิ่งที่จัดการไม่ได้ จนลืมเรื่องการใช้ชีวิต ลืมเรื่องการยิ้ม ลืมเรื่องการนับสิ่งดี ๆ ที่ได้เกิดขึ้น เพราะผู้จัดการจอมบูดจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก แล้วทุกคนในบ้านก็เริ่มทำตามนั้น

การแปรงผมเริ่มกลายเป็นประเด็น ทุกเช้า ลูกสาวคนโตของฉันจะยอมให้ฉันแปรงผมให้อย่างกระโชกกระชากแต่โดยดี แล้วฉันก็ทำเป็นไม่เห็นว่าลูกสะดุ้งด้วยความเจ็บ ก็เรากำลังรีบนี่นา ฉันเกลียดการไปสาย

แต่พอถึงตาลูกสาวคนเล็ก เธอจะต้องขอแปรงเองทุกวัน ซึ่งการตอบสนองของฉันถ้าไม่ใช่ “วันนี้เราไม่มีเวลา” ก็จะเป็นว่า “ไว้ลูกโตกว่านี้ก่อน”

เช้าวันหนึ่ง ลูกสาวที่ตอนนั้นอายุสี่ขวบไม่ได้ถามว่าเธอจะแปรงผมเองได้หรือไม่ ฉันรู้สึกโล่งใจ ฉันจะได้แปรงผมแล้วรัดเป็นหางม้า จับลูกใส่รองเท้าได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็กะไว้ว่าเราจะออกจากบ้านได้ในไม่เกินสองนาที เพราะผู้จัดการจะต้องคิดคำนวณเสมอ

พอฉันรวบผมยุ่งเหยิงของเอเวอรี่เข้ามาอย่างกระแทกกระทั้น ฉันก็บังเอิญเห็นเงาตัวเองในกระจก คิ้วฉันขมวดแน่นเป็นปม ปากเม้มแน่นจนเป็นเส้น ฉันดูซูบซีด ไร้ความหวัง และดูเศร้า ฉันคงไม่สนใจสภาพอันน่ากวนใจนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะลูกของฉันก็กำลังมองภาพสะท้อนของฉันอยู่ด้วย

ถ้าสามารถถอดความรู้สึกบนใบหน้าออกมาเป็นคำพูดได้ สีหน้าของลูกคงจะพูดออกมาดัง ๆ และชัดเจนว่า คุณเป็นใคร แม่ฉันหายไปไหน

ฉันรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้น ฉันรู้สึกว่าน้ำตาพานจะไหล แต่ฉันก็กระพริบไล่มันไป เพราะผู้จัดการรู้ดีว่าไม่มีเวลามานั่งเสียน้ำตา

แต่แทนที่จะแปรงต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง ฉันก็หยุด มือสั่นเล็กน้อย ขณะที่ส่งแปรงผมให้ลูก

“ลูกจะทำแบบไหนล่ะ” ฉันถามเบา ๆ

ตอนแรก ลูกทำหน้าตกใจ ราวกับฉันส่งแมงมุมทาลันทูลาให้อย่างนั้นแหล่ะ แต่เมื่อเห็นฉันยังยื่นแปรงค้างไว้อยู่ เอเวอรี่ก็เลยหยิบมันไปในที่สุด

ด้วยมือเล็ก ๆ ที่คล่องแคล่ว ลูกแปรงผมด้านข้างจากบนลงล่างจนกระทั่งผมเรียบเป็นเงา ระหว่างที่แปรงผมอย่างเพลิดเพลิน ฉันคิดว่าลูกลืมไปแล้วว่าฉันนั่งอยู่ด้วย อีกไม่กี่นาทีต่อมา ลูกก็ค่อย ๆ ดึงผมมาพาดบ่า แล้วลูกก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในภาพสะท้อนของตัวเอง ความเป็นผู้จัดการในตัวฉันสังเกตว่าลูกไม่ได้แปรงด้านหลัง แต่ฉันก็เงียบไว้

ลูกมองตาฉันในกระจก “ขอบคุณค่ะแม่ หนูอยากทำแบบนี้มาตลอดเลย”

ฉันหวังว่าฉันจะได้ทำบางอย่าง อะไรก็ได้ สำหรับคำพูดสำคัญคำนั้นที่เป็นของขวัญสำหรับฉัน

ตลอดหลายสัปดาห์ต่อมา เราจะทานอาหารเช้าให้เสร็จเร็วขึ้นอีกหน่อย เอเวอรี่จะได้แปรงผมเอง แล้วฉันก็จะได้ดู และเรียนรู้

 “อยากให้หนูทำให้ดูไหมคะว่าหนูจะทำอย่างไร” เป็นคำพูดที่ลูกพูดทุกเช้า เมื่อฉันส่งแปรงให้

ฉันไม่เคยเบื่อที่จะมองความสุขล้วน ๆ ที่เอเวอรี่ได้รับจากการทำด้วยตนเอง ในแบบของลูกเองเลย แบบที่การแปรงผมด้านหลังเป็นทางเลือก

“ใช้เวลาให้เต็มที่เลยจ้ะ” ฉันบังคับตัวเองให้พูดแบบนั้นทุกเช้า จนกระทั่งมันเป็นคำที่พูดถนัดปาก แทนที่จะรู้สึกเหมือนพูดภาษาต่างดาวออกมา

เมื่อไรก็ตามที่ฉันพูดคำ ๆ นี้ออกมาก จะมีปฏิกิริยาที่เห็นได้ชัด ไม่เหมือนคำพูดอื่น ๆ คำพูดนี้มีความหมายมากเป็นพิเศษสำหรับลูก จากท่าทางที่ไหล่ลูกตั้งขึ้น และยิ้มกว้างขึ้น ฉันจึงถือได้ว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดสร้างจิตวิญญาณสำหรับเด็กคนนี้ ฉันได้รับรู้ว่า ฉันจะไม่มีวันได้รู้ถึงพลังของคำพูดนี้ที่มีต่อเอเวอรี่ ถ้าฉันไม่ได้ถอยออกมาและยอมไม่เป็นผู้ควบคุม จะมีวิธีไหนอีก ที่ฉันจะสามารถใช้เรื่องการยอมให้แปรงผมเป็นวิธีเชื่อมสัมพันธ์ และยกความสำคัญให้คนอื่น ไม่ต้องใช้เวลานานเลย ที่ฉันจะได้เห็นว่า ยังมีโอกาสอีกมากมาย ที่รอให้ฉันอ้าแขนแล้วถามว่า แล้วเธออยากจะทำอย่างไร

วิธีที่สามีของฉันดูแลลูก ๆ .. จัดระเบียบห้องนอนในส่วนของตัวเอง...เลือกเสื้อผ้าที่จะออกไปข้างนอก...เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมา... และชำระหนี้ต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่วิธีที่ผิด แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำเท่านั้น

วิธีที่ลูกคนโตของฉันจัดกระเป๋าว่ายน้ำ...เอาของออกมา...เก็บเงิน...เลือกของขวัญ...ทำโครงงานให้เสร็จ...ทำการบ้าน...และอบคุกกี้ ก็ไม่ผิด – แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำ

วิธีที่แคชเชียร์ช่างพูดเก็บของลงถุง...วิธีที่เพื่อนร่วมงานของฉันมีขั้นตอนเพิ่มอีกสิบขั้นกว่าจะทำงานให้เสร็จได้...วิธีที่น้องสาวของฉันจิบการแฟและอ่านหนังสือก่อนที่จะเริ่มวันใหม่ด้วยกัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิด – แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำ

เป็นเธอจะทำอย่างไร ฉันมักจะยอมแพ้ด้วยการพูดคำนี้ เวลาที่เจ้าตัวจอมบงการในตัวฉันเริ่มจะอาละวาด เมื่อฉันดูคนอื่น ๆ ในชีวิตทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีของตัวเอง...ในเวลาของตัวเอง...ในแบบที่เหมาะกับตนเอง ฉันได้เห็นประกายแห่งความสุขที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็เหมือนเอเวอรี่กับการแปรงผมนั่นแหล่ะ ฉันได้เรียนรู้ว่า แต่ละคน ก็มีคำพูดที่ใช้สร้างจิตวิญญาณที่จะช่วยจุดประกายได้แตกต่างกันไป

เมื่อเวลาผ่านไป ป้ายผู้จัดการก็ถูกถอดออกไปจากเสื้อฉัน และฉันก็พยายามจะเป็นผู้บงการน้อยลง แต่พยายามที่จะเป็นผู้ที่อยู่ให้แนวทาง ให้การสนับสนุน และให้ความรักแทน  ฉันเข้านอนด้วยความรู้สึกเบาขึ้น โล่งขึ้น และมีความสุขขึ้น จากการได้รู้ว่าฉันไม่ต้องเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งอย่าง ฉันตื่นขึ้นมาโดยมีความตระหนักรู้อย่างสงบว่า มีวิธีการที่จะใช้ชีวิต ที่จะสร้างสรรค์ และทำงานให้สำเร็จมากมายหลายวิธี และบางครั้ง วิธีอื่นก็ดีกว่าวิธีของฉันเอง

ตอนนี้เอเวอรี่อายุ 8 ขวบแล้ว แล้วก็เป็นนักแต่งผมได้ดีทีเดียว ลูกไม่เพียงแต่งผมให้ตัวเองได้ดีเท่านั้น แต่เธอยังทำให้ผมของฉันดูดีด้วย เอเวอรี่ยังคงไม่ค่อยสนใจผมด้านหลังเท่าไรนัก ซึ่งก็เป็นผลให้ลูกส่งหวี พร้อมขวดครีมนวดผมมาให้ฉัน แล้วเราก็ได้ใช้เวลาร่วมกันข้างอ่างน้ำร้อนควันฉุย

ฉันชื่นชมกับความจริงที่ว่า แม้แต่เวลาที่วุ่นวายที่สุด จนดูเหมือนต้องตัดอะไรบางอย่างทิ้งไป ก็ยังเป็นเวลาที่มีหวัง... มีการเติบโต... มีการเริ่มใหม่ ถ้าเพียงแต่ฉันจะยอมคลายกรงเล็บออกสักนิด แล้วพยายามต่อไป

ขอฝากข้อความที่ฉันได้รับพรให้เรียนรู้ผ่านความยุ่งเหยิงนี้ ฉันเรียกบทนี้ว่า สร้างจิตวิญญาณ ด้วยถ้อยคำทีละคำ
“แม่จะรอลูก”
“ใช้เวลาให้เต็มที่”
“ลูกทำให้แม่มีวันที่ดีกว่าเดิม”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับลูกผู้เชื่องช้า มีความสุข และเป็นนักสังเกตของฉัน
ฉันเฝ้ามองดูดวงตาที่เปี่ยมด้วยความขอบคุณเบิกโตขึ้น แล้วไหล่เล็ก ๆ ก็ผ่อนคลายลง
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดสร้างจิตวิญญาณสำหรับลูก

“ทำผิดแปลว่าลูกกำลังได้เรียนรู้”
“มันไม่ต้องสมบูรณ์แบบนักก็ได้”
“เอาล่ะ ลูกมีเวลาได้อีกนิดหน่อยเพื่อทำงานให้เสร็จ”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับลูกนักล่าฝัน ผู้พยายามจะทำให้ได้ตามแผน
ฉันเฝ้าดูความกดดันที่สลายตัวไปจากอกเธอ และเห็นความมุ่งมาดปรารถนาของลูกบรรเจิดขึ้น
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่ช่วยกระตุ้นความมั่นใจสำหรับลูก

“ฉันชื่นชมเธอ”
“ฉันฟังอยู่”
“เธอเป็นคนสำคัญนะ”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับยอดหัวใจผู้ทำงานหนัก และไม่ค่อยได้รับการชื่นชม
ฉันเฝ้าดูความเครียดที่ลดลง ตาประสานกัน และบทสนทนาที่เกิดได้ง่ายขึ้น
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่ช่วยรับรองและเชื่อมสัมพันธ์กับเขา

“วันนี้ทำได้ดีพอแล้วล่ะ”
“เมตตากับตัวเองหน่อย”
“วันนี้สำคัญกว่าเมื่อวาน”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับตัวเองที่คอยหาแต่ความสมบูรณ์แบบ ใจที่ชอบกังวล คอยแต่จะนึกถึงความผิดพลาดในอดีต
ฉันเฝ้าดูมือที่กำแน่นของฉันคลายออก น้ำตาไหลเมื่อรอยแผลเป็นเผยโฉม
คำพวกนี้เป็นถ้อยคำที่ช่วยเยียวยา และเติมความหวังให้แก่ฉัน

เราไม่ควรประเมินคำว่า “ฉันรักเธอ” ต่ำเกินไป แต่คนแต่ละคนล้วนมีหลายคำที่จะช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง หาถ้อยคำนั้น ๆ ให้พบ ด้วยการถอยสักหน่อย ปล่อยวาง คอยเฝ้าดู เรียนรู้ และรับฟัง  อะไรที่ทำให้เกิดรอยยิ้ม อะไรที่ทำให้ขั้นตอนเร็วขึ้น จำคำพวกนี้ไว้ แล้วพูดออกมา พูดออกมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะถึงวันที่คุณไม่จำเป็นต้องได้ยินมันอีก




 

พลิกโลกได้ เริ่มจากใจดวงน้อย Copyright © 2011 Designed by Ipietoon Blogger Template and web hosting