#ผู้จัดการที่บ้านฉัน
และ #คำพูดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
ทุก ๆ
สองสามสัปดาห์ ฉันจะมานั่งสางปมผมสีบลอนด์สตรอว์เบอร์รีตรงท้ายทอยของลูกสาว
เมื่อวันก่อน ระหว่างที่นั่งอยู่ตรงมุมอ่าง พยายามแก้เจ้าปมแสนดื้ออย่างเบามือ
ลูกสาวก็นั่งเล่าเรื่องชีวิตในวันนั้นของลูกไป ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ปมเปียก ๆ
ในมือฉันเป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนของความก้าวหน้า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การปล่อยวางสามารถทำได้
แม้ในหัวใจเจ้าปัญหา ความหวังของฉันคือ การที่ได้แบ่งปัน ว่าฉันเคยเป็นอย่างไร
แล้วตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปแค่ไหน จะทำให้คนอื่น ๆ ได้รู้สึกถึงความหวังที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
บางที การได้อ่านเรื่องความก้าวหน้าที่ยุ่งเหยิงแต่จับต้องได้นี้
อาจทำให้คนอื่นได้เห็นผลงานของตัวเองด้วย เรื่องของฉันเป็นอย่างนี้
เคยมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของฉัน
ที่ฉันจะตะคอกสั่งมากกว่าที่จะพูดด้วยความรัก เมื่อฉันมีปฏิกิริยากับเรื่องไม่สะดวกเล็ก
ๆ น้อย ๆ ราวกับมันเป็นหายนะครั้งใหญ่
เมื่อนิสัยและพฤติกรรมธรรมดาของมนุษย์ทำให้ความดันเลือดของฉันพุ่งขึ้นจนถึงจุดอันตราย
แทนที่ฉันจะทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงสมาชิกในครอบครัว
ฉันกลับใช้สิทธิ์ในการจัดการกับสมาชิกในครอบครัวของฉันเองจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
เวลาลูกสาวคนโตของฉันผู้เป็นศิลปิน
จอมยุ่งเหยิง ผู้คอยไล่ตามความฝัน อยากจะทำโครงการอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน อย่างลองทำอาหารสูตรใหม่
แล้ววางหนังสือและนิตยสารตั้งเป็นกองสูงอยู่ข้างเตียง
ก็จะต้องถูกมองด้วยสายตาแสดงความไม่เห็นชอบอยู่ทุกวัน
เวลาที่ลูกสาวคนเล็ก
ผู้ชอบหยุดแวะดมดอกไม้ทุกดอกของฉันอยากจะรัดเข็มขัดให้ตุ๊กตาก่อนออกเดินทาง
หรือใส่เครื่องประดับเข้าไปเต็มตัวก่อนที่จะเดินออกจากบ้าน
แล้วก็เคลื่อนไหวช้าราวกับหอยทาก ก็จะได้ยินเสียงถอนใจเฮือก
และคิ้วขมวดยุ่งแสดงความรำคาญใส่
สามีผู้ชอบความสนุกสนานและมีนิสัยสบาย
ๆ ปล่อยให้แผนการวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็สามารถจะทำตัวสบาย ๆ
ได้ตลอด ก็จะได้การตอบกลับเป็นความเงียบบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน
ผู้คนที่ฉันควรจะให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขล้วนมีคุณสมบัติที่น่าโมโห
น่ารำคาญ แล้วยังทำให้แผนการที่ฉันวางไว้เป็นอย่างดีเสียหายอยู่เสมอ
แผนการที่สนใจแต่เรื่องประสิทธิภาพ ความสมบูรณ์แบบ และการควบคุม
ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นแม่
หรือภรรยา หรือแม้แต่มนุษย์ธรรมดาที่ดีพอด้วยซ้ำ
ฉันทำตัวเป็นผู้จัดการขี้โมโหที่คอยแต่จะสร้างบรรยากาศที่เป็นมลพิษ
สถานที่ที่ทำให้ยากที่จะแสดงตัวในแต่ละวันและทุกวัน
ฉันรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ
เพราะขนาดฉันเองยังทนตัวเองไม่ได้เลย
ฉันกลายเป็นคนไม่อดทน ที่ตื่นขึ้นมาโกรธและหงุดหงิด
เพราะฉันปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับการจัดการในสิ่งที่จัดการไม่ได้
จนลืมเรื่องการใช้ชีวิต ลืมเรื่องการยิ้ม ลืมเรื่องการนับสิ่งดี ๆ ที่ได้เกิดขึ้น
เพราะผู้จัดการจอมบูดจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก แล้วทุกคนในบ้านก็เริ่มทำตามนั้น
การแปรงผมเริ่มกลายเป็นประเด็น
ทุกเช้า ลูกสาวคนโตของฉันจะยอมให้ฉันแปรงผมให้อย่างกระโชกกระชากแต่โดยดี
แล้วฉันก็ทำเป็นไม่เห็นว่าลูกสะดุ้งด้วยความเจ็บ ก็เรากำลังรีบนี่นา
ฉันเกลียดการไปสาย
แต่พอถึงตาลูกสาวคนเล็ก
เธอจะต้องขอแปรงเองทุกวัน ซึ่งการตอบสนองของฉันถ้าไม่ใช่ “วันนี้เราไม่มีเวลา”
ก็จะเป็นว่า “ไว้ลูกโตกว่านี้ก่อน”
เช้าวันหนึ่ง
ลูกสาวที่ตอนนั้นอายุสี่ขวบไม่ได้ถามว่าเธอจะแปรงผมเองได้หรือไม่ ฉันรู้สึกโล่งใจ
ฉันจะได้แปรงผมแล้วรัดเป็นหางม้า จับลูกใส่รองเท้าได้อย่างรวดเร็ว
แล้วก็กะไว้ว่าเราจะออกจากบ้านได้ในไม่เกินสองนาที
เพราะผู้จัดการจะต้องคิดคำนวณเสมอ
พอฉันรวบผมยุ่งเหยิงของเอเวอรี่เข้ามาอย่างกระแทกกระทั้น
ฉันก็บังเอิญเห็นเงาตัวเองในกระจก คิ้วฉันขมวดแน่นเป็นปม ปากเม้มแน่นจนเป็นเส้น
ฉันดูซูบซีด ไร้ความหวัง และดูเศร้า ฉันคงไม่สนใจสภาพอันน่ากวนใจนี้
ถ้าไม่เป็นเพราะลูกของฉันก็กำลังมองภาพสะท้อนของฉันอยู่ด้วย
ถ้าสามารถถอดความรู้สึกบนใบหน้าออกมาเป็นคำพูดได้
สีหน้าของลูกคงจะพูดออกมาดัง ๆ และชัดเจนว่า คุณเป็นใคร แม่ฉันหายไปไหน
ฉันรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้น
ฉันรู้สึกว่าน้ำตาพานจะไหล แต่ฉันก็กระพริบไล่มันไป
เพราะผู้จัดการรู้ดีว่าไม่มีเวลามานั่งเสียน้ำตา
แต่แทนที่จะแปรงต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง
ฉันก็หยุด มือสั่นเล็กน้อย ขณะที่ส่งแปรงผมให้ลูก
“ลูกจะทำแบบไหนล่ะ”
ฉันถามเบา ๆ
ตอนแรก
ลูกทำหน้าตกใจ ราวกับฉันส่งแมงมุมทาลันทูลาให้อย่างนั้นแหล่ะ
แต่เมื่อเห็นฉันยังยื่นแปรงค้างไว้อยู่ เอเวอรี่ก็เลยหยิบมันไปในที่สุด
ด้วยมือเล็ก ๆ
ที่คล่องแคล่ว ลูกแปรงผมด้านข้างจากบนลงล่างจนกระทั่งผมเรียบเป็นเงา
ระหว่างที่แปรงผมอย่างเพลิดเพลิน ฉันคิดว่าลูกลืมไปแล้วว่าฉันนั่งอยู่ด้วย
อีกไม่กี่นาทีต่อมา ลูกก็ค่อย ๆ ดึงผมมาพาดบ่า
แล้วลูกก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในภาพสะท้อนของตัวเอง
ความเป็นผู้จัดการในตัวฉันสังเกตว่าลูกไม่ได้แปรงด้านหลัง แต่ฉันก็เงียบไว้
ลูกมองตาฉันในกระจก
“ขอบคุณค่ะแม่ หนูอยากทำแบบนี้มาตลอดเลย”
ฉันหวังว่าฉันจะได้ทำบางอย่าง
อะไรก็ได้ สำหรับคำพูดสำคัญคำนั้นที่เป็นของขวัญสำหรับฉัน
ตลอดหลายสัปดาห์ต่อมา
เราจะทานอาหารเช้าให้เสร็จเร็วขึ้นอีกหน่อย เอเวอรี่จะได้แปรงผมเอง
แล้วฉันก็จะได้ดู และเรียนรู้
“อยากให้หนูทำให้ดูไหมคะว่าหนูจะทำอย่างไร”
เป็นคำพูดที่ลูกพูดทุกเช้า เมื่อฉันส่งแปรงให้
ฉันไม่เคยเบื่อที่จะมองความสุขล้วน
ๆ ที่เอเวอรี่ได้รับจากการทำด้วยตนเอง ในแบบของลูกเองเลย
แบบที่การแปรงผมด้านหลังเป็นทางเลือก
“ใช้เวลาให้เต็มที่เลยจ้ะ”
ฉันบังคับตัวเองให้พูดแบบนั้นทุกเช้า จนกระทั่งมันเป็นคำที่พูดถนัดปาก แทนที่จะรู้สึกเหมือนพูดภาษาต่างดาวออกมา
เมื่อไรก็ตามที่ฉันพูดคำ
ๆ นี้ออกมาก จะมีปฏิกิริยาที่เห็นได้ชัด ไม่เหมือนคำพูดอื่น ๆ
คำพูดนี้มีความหมายมากเป็นพิเศษสำหรับลูก จากท่าทางที่ไหล่ลูกตั้งขึ้น
และยิ้มกว้างขึ้น ฉันจึงถือได้ว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดสร้างจิตวิญญาณสำหรับเด็กคนนี้
ฉันได้รับรู้ว่า ฉันจะไม่มีวันได้รู้ถึงพลังของคำพูดนี้ที่มีต่อเอเวอรี่
ถ้าฉันไม่ได้ถอยออกมาและยอมไม่เป็นผู้ควบคุม จะมีวิธีไหนอีก
ที่ฉันจะสามารถใช้เรื่องการยอมให้แปรงผมเป็นวิธีเชื่อมสัมพันธ์ และยกความสำคัญให้คนอื่น
ไม่ต้องใช้เวลานานเลย ที่ฉันจะได้เห็นว่า ยังมีโอกาสอีกมากมาย
ที่รอให้ฉันอ้าแขนแล้วถามว่า แล้วเธออยากจะทำอย่างไร
วิธีที่สามีของฉันดูแลลูก
ๆ .. จัดระเบียบห้องนอนในส่วนของตัวเอง...เลือกเสื้อผ้าที่จะออกไปข้างนอก...เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมา...
และชำระหนี้ต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่วิธีที่ผิด แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำเท่านั้น
วิธีที่ลูกคนโตของฉันจัดกระเป๋าว่ายน้ำ...เอาของออกมา...เก็บเงิน...เลือกของขวัญ...ทำโครงงานให้เสร็จ...ทำการบ้าน...และอบคุกกี้
ก็ไม่ผิด – แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำ
วิธีที่แคชเชียร์ช่างพูดเก็บของลงถุง...วิธีที่เพื่อนร่วมงานของฉันมีขั้นตอนเพิ่มอีกสิบขั้นกว่าจะทำงานให้เสร็จได้...วิธีที่น้องสาวของฉันจิบการแฟและอ่านหนังสือก่อนที่จะเริ่มวันใหม่ด้วยกัน
ก็ไม่ใช่เรื่องผิด – แค่ต่างจากวิธีที่ฉันทำ
เป็นเธอจะทำอย่างไร
ฉันมักจะยอมแพ้ด้วยการพูดคำนี้ เวลาที่เจ้าตัวจอมบงการในตัวฉันเริ่มจะอาละวาด
เมื่อฉันดูคนอื่น ๆ ในชีวิตทำสิ่งต่าง ๆ
ด้วยวิธีของตัวเอง...ในเวลาของตัวเอง...ในแบบที่เหมาะกับตนเอง ฉันได้เห็นประกายแห่งความสุขที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วก็เหมือนเอเวอรี่กับการแปรงผมนั่นแหล่ะ ฉันได้เรียนรู้ว่า แต่ละคน
ก็มีคำพูดที่ใช้สร้างจิตวิญญาณที่จะช่วยจุดประกายได้แตกต่างกันไป
เมื่อเวลาผ่านไป
ป้ายผู้จัดการก็ถูกถอดออกไปจากเสื้อฉัน และฉันก็พยายามจะเป็นผู้บงการน้อยลง
แต่พยายามที่จะเป็นผู้ที่อยู่ให้แนวทาง ให้การสนับสนุน และให้ความรักแทน ฉันเข้านอนด้วยความรู้สึกเบาขึ้น โล่งขึ้น
และมีความสุขขึ้น จากการได้รู้ว่าฉันไม่ต้องเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งอย่าง
ฉันตื่นขึ้นมาโดยมีความตระหนักรู้อย่างสงบว่า มีวิธีการที่จะใช้ชีวิต ที่จะสร้างสรรค์
และทำงานให้สำเร็จมากมายหลายวิธี และบางครั้ง วิธีอื่นก็ดีกว่าวิธีของฉันเอง
ตอนนี้เอเวอรี่อายุ
8 ขวบแล้ว แล้วก็เป็นนักแต่งผมได้ดีทีเดียว
ลูกไม่เพียงแต่งผมให้ตัวเองได้ดีเท่านั้น แต่เธอยังทำให้ผมของฉันดูดีด้วย เอเวอรี่ยังคงไม่ค่อยสนใจผมด้านหลังเท่าไรนัก
ซึ่งก็เป็นผลให้ลูกส่งหวี พร้อมขวดครีมนวดผมมาให้ฉัน
แล้วเราก็ได้ใช้เวลาร่วมกันข้างอ่างน้ำร้อนควันฉุย
ฉันชื่นชมกับความจริงที่ว่า
แม้แต่เวลาที่วุ่นวายที่สุด จนดูเหมือนต้องตัดอะไรบางอย่างทิ้งไป
ก็ยังเป็นเวลาที่มีหวัง... มีการเติบโต... มีการเริ่มใหม่ ถ้าเพียงแต่ฉันจะยอมคลายกรงเล็บออกสักนิด
แล้วพยายามต่อไป
ขอฝากข้อความที่ฉันได้รับพรให้เรียนรู้ผ่านความยุ่งเหยิงนี้
ฉันเรียกบทนี้ว่า สร้างจิตวิญญาณ ด้วยถ้อยคำทีละคำ
“แม่จะรอลูก”
“ใช้เวลาให้เต็มที่”
“ลูกทำให้แม่มีวันที่ดีกว่าเดิม”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับลูกผู้เชื่องช้า
มีความสุข และเป็นนักสังเกตของฉัน
ฉันเฝ้ามองดูดวงตาที่เปี่ยมด้วยความขอบคุณเบิกโตขึ้น
แล้วไหล่เล็ก ๆ ก็ผ่อนคลายลง
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดสร้างจิตวิญญาณสำหรับลูก
“ทำผิดแปลว่าลูกกำลังได้เรียนรู้”
“มันไม่ต้องสมบูรณ์แบบนักก็ได้”
“เอาล่ะ
ลูกมีเวลาได้อีกนิดหน่อยเพื่อทำงานให้เสร็จ”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับลูกนักล่าฝัน
ผู้พยายามจะทำให้ได้ตามแผน
ฉันเฝ้าดูความกดดันที่สลายตัวไปจากอกเธอ
และเห็นความมุ่งมาดปรารถนาของลูกบรรเจิดขึ้น
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่ช่วยกระตุ้นความมั่นใจสำหรับลูก
“ฉันชื่นชมเธอ”
“ฉันฟังอยู่”
“เธอเป็นคนสำคัญนะ”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับยอดหัวใจผู้ทำงานหนัก
และไม่ค่อยได้รับการชื่นชม
ฉันเฝ้าดูความเครียดที่ลดลง
ตาประสานกัน และบทสนทนาที่เกิดได้ง่ายขึ้น
คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่ช่วยรับรองและเชื่อมสัมพันธ์กับเขา
“วันนี้ทำได้ดีพอแล้วล่ะ”
“เมตตากับตัวเองหน่อย”
“วันนี้สำคัญกว่าเมื่อวาน”
ฉันพูดคำพูดเหล่านี้กับตัวเองที่คอยหาแต่ความสมบูรณ์แบบ
ใจที่ชอบกังวล คอยแต่จะนึกถึงความผิดพลาดในอดีต
ฉันเฝ้าดูมือที่กำแน่นของฉันคลายออก
น้ำตาไหลเมื่อรอยแผลเป็นเผยโฉม
คำพวกนี้เป็นถ้อยคำที่ช่วยเยียวยา
และเติมความหวังให้แก่ฉัน
เราไม่ควรประเมินคำว่า
“ฉันรักเธอ” ต่ำเกินไป แต่คนแต่ละคนล้วนมีหลายคำที่จะช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หาถ้อยคำนั้น ๆ ให้พบ ด้วยการถอยสักหน่อย ปล่อยวาง คอยเฝ้าดู เรียนรู้
และรับฟัง อะไรที่ทำให้เกิดรอยยิ้ม
อะไรที่ทำให้ขั้นตอนเร็วขึ้น จำคำพวกนี้ไว้ แล้วพูดออกมา
พูดออกมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะถึงวันที่คุณไม่จำเป็นต้องได้ยินมันอีก