Pages

Thursday, June 20, 2013

#เมื่อฉันหยุดตะคอกใส่ลูก

 

คุณไม่ใช่คนเดียวที่เคยตะคอกใส่คนที่คุณรักมากที่สุด แต่นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุด

ฉันปลาบปลื้มกับข้อความที่ลูกเขียนให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นลายมือหวัด ๆ ที่เขียนอยู่บนกระดาษโพสต์อิท หรือคัดมาอย่างสวยงามบนกระดาษตีเส้น แต่กลอนที่ลูกสาววัย 9 ขวบเขียนให้ฉันในวันแม่นั้นมีความหมายมากเป็นพิเศษ จริง ๆ แล้วแค่อ่านบรรทัดแรกก็ทำให้ฉันสะดุดลมหายใจพร้อมกับน้ำตาไหลอาบหน้า

“สิ่งสำคัญเกี่ยวกับคุณแม่ของฉันคือ คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา” คุณเห็นมั้ยคะ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไปหรอก

ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ ช่วงที่ชีวิตของฉันกำลังเต็มไปด้วยสารพัดเรื่องกวนใจ ฉันเป็นจอมตะคอก ไม่ได้บ่อยมากหรอก แต่รุนแรงมาก เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพองลมพร้อมแตก ที่อยู่ ๆ ก็ระเบิดออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ต้องตระหนกอกสั่นด้วยความกลัว

แล้วลูกวัย 3 ขวบกับ 6 ขวบของฉันทำอะไรหรือที่ทำให้ฉันเสียความควบคุมตัวเอง เพราะเธอยังจะวิ่งกลับไปเอาสร้อยลูกปัดอีก 3 เส้นกับแว่นกันแดดสีชมพูอันโปรดของเธอทั้ง ๆ ที่เราสายมากแล้วงั้นเหรอ หรือว่าเธอพยายามจะเทซีเรียลด้วยตัวเองแล้วเลยทำหกเลอะเคาท์เตอร์ทั้งกล่อง หรือที่เธอทำตุ๊กตาแก้วรูปนางฟ้าอันโปรดของฉันตกเป็นรอยทั้ง ๆ ที่ฉันห้ามไม่ให้จับไว้แล้ว หรือเมื่อเธอไม่ยอมนอนเมื่อฉันต้องการเวลาเงียบ ๆ เพื่อพักผ่อนอย่างเหลือเกิน หรือเมื่อลูกทั้งสองแข่งกันเรื่องไร้สาระอย่างใครจะออกจากรถได้ก่อน หรือใครจะได้ไอศกรีมก้อนใหญ่กว่ากัน

ใช่แล้ว ก็เรื่องพวกนี้แหละ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความประพฤติและความคิดของเด็กปกติธรรมดานี่แหล่ะที่ก่อกวนจนฉันลืมตัวเสียความควบคุม

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ ฉันเกลียดตัวเองในช่วงนั้นจริง ๆ มันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงอยากจะกรีดร้องใส่ลูกตัวน้อย ๆ ที่แสนมีค่าทั้งสองคนที่ฉันรักยิ่งกว่าชีวิต

ฉันจะเล่าให้คุณฟัง

สารพัดเรื่องที่ทำดึงความสนใจของฉันไป

ใช้โทรศัพท์มากเกินไป รับปากว่าจะทำโน่นนี่มากเกินไป มีรายการเรื่องที่ต้องทำมากมายหลายหน้า และความต้องการที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบก็กำลังกัดกินตัวฉัน และการระเบิดอารมณ์ใส่คนที่ฉันรักก็เป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้

มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ฉันจะต้องล้มเหลวในเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วฉันก็เลยล้มไม่เป็นท่าอยู่เบื้องหลังประตูที่ปิดตาย ใส่คนที่มีความหมายมากที่สุดของฉัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง

ลูกสาวคนโตของฉันกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง พยายามจะหยิบอะไรสักอย่างบนชั้นวางอาหาร แล้วเธอก็พลาดทำถุงข้าวตกลงไปบนพื้นทั้งถุง ขณะที่เมล็ดข้าวตกกระจายไปเต็มพื้นเหมือนห่าฝน ลูกสาวของฉันก็มีน้ำตาเต็มตา และนั่นก็คือตอนที่ฉันได้เห็น เห็นความกลัวในดวงตาของเธอขณะที่กำลังนั่งตัวแข็งรอการประณามอย่างรุนแรงจากฉัน

ลูกกลัวฉัน  ฉันรับรู้เรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณ ลูกวัย 6 ขวบของฉันกลัวปฏิกิริยาของฉันจากความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจ

ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต และไม่อยากให้ลูกเติบโตมากับแม่แบบนี้ด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็จัดการกับชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดทำให้ฉันตกลงใจที่จะกำจัดสิ่งที่แย่งความสนใจทั้งหลายออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเท่านั้น  นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีครึ่งมาแล้ว  สองปีครึ่งที่ฉันค่อย ๆ ลดสิ่งกวนใจทั้งหลายลง สองปีครึ่งที่ปลดปล่อยตัวเองจากมาตรฐานความสมบูรณ์แบบที่เป็นไปไม่ได้ และแรงกดดันจากสังคมว่าจะต้อง “ทำได้ทุกอย่าง” หลังจากที่ฉันได้กำจัดสิ่งกวนใจทั้งภายในภายนอกออกไป ความโกรธและความเครียดที่ฝังตัวอยู่ก็ค่อย ๆ สลายไป เมื่อภาระน้อยลง ฉันก็สามารถจัดการกับความพลาดพลั้งหรือความผิดของลูกได้อย่างสงบ มีเหตุผล และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

ฉันพูดได้ว่า “ก็แค่ช็อกโกแลตหก ลูกเช็ดแล้วเคาท์เตอร์ก็จะสะอาดเหมือนเดิมนั่นล่ะ”

(แทนที่จะถอนใจและกรอกตาอย่างโมโหโทโส)

ฉันเสนอที่จะช่วยถือไม้กวาดระหว่างที่เธอเก็บขนมที่หกเต็มพื้น

(แทนที่จะยืนค้ำหัวมองเธอด้วยความรำคาญและไม่พอใจ)

ฉันช่วยลูกคิดว่าลูกน่าจะเอาแว่นตาไปวางไว้ที่ไหน

(แทนที่จะทำให้เธออับอายด้วยการว่าลูกว่าไม่รู้จักรับผิดชอบ)

และเมื่อมีช่วงเวลาที่เกิดความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดและลูกก็ร้องไห้ไม่หยุด ฉันจะเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู ให้เวลาตัวเองหายใจลึก ๆ แล้วเตือนตัวเองว่าลูกยังเป็นเด็กอยู่ และเด็กก็ทำผิดได้เหมือนกับฉันเหมือนกัน

เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวที่เคยฉายชัดอยู่ในดวงตาของลูกเมื่อเค้ามีปัญหาก็เริ่มหายไป โล่งอกไปที ฉันได้กลายเป็นที่พักใจของลูก ๆ เมื่อมีปัญหา แทนที่จะเป็นศัตรูที่เด็ก ๆ อยากจะวิ่งหนีไปซ่อน

ฉันไม่แน่ใจว่าเคยคิดอยากจะเขียนเล่าเรื่องนี้รึเปล่า ถ้าไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างที่เกิดเมื่อบ่ายวันจันทร์ ตอนนั้นฉันรู้สึกเซ็งชีวิตอย่างแรงและเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว ฉันกำลังเขียนบทสุดท้ายเพื่อปิดต้นฉบับหนังสือที่กำลังเขียนอยู่ แล้วคอมพิวเตอร์ก็ค้างไปเฉย ๆ แล้วบทความ 3 บทสุดท้ายที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วก็หายวับไปกับตา ฉันพยายามจะดึงข้อมูลล่าสุดที่พิมพ์ตามที่ร่างไว้กลับมาอยู่พักหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ พยายามดึงข้อมูลที่แบ็คอัพไว้ ก็ไม่ได้อีก เมื่อฉันรู้ว่าฉันไม่มีทางดึงข้อมูลกลับมาได้แล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่จริง ๆ แล้วอยากจะอาละวาดมากกว่า

แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะถึงเวลาต้องไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนไปฝึกว่ายน้ำแล้ว ฉันค่อย ๆ ปิดแล็ปท็อปด้วยความอดกลั้นอย่างที่สุด และเตือนตัวเองว่าเสียข้อมูลไปแค่ไม่กี่บทก็ยังดี แล้วตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

เมื่อลูก ๆ ขึ้นรถก็รับรู้ได้ถึงความไม่ปกติได้ทันที และถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นอะไรรึเปล่าคะแม่”

ฉันรู้สึกอยากจะตะโกนออกมาว่า “ฉันเสียงานที่ใช้เวลาทำตั้ง 3 วันไปแล้ว”

ฉันอยากจะทุบพวงมาลัยรถเพราะตอนนี้ฉันอยากจะกลับไปนั่งแก้งานมากกว่าจะมามัวขับรถพาลูกไปว่ายน้ำ จัดการกับชุดว่ายน้ำ หวีผมยุ่ง ๆ ทำอาหารเย็น ล้างจาน แล้วก็พาลูกเข้านอนอยู่อย่างนี้

แต่ฉันก็เพียงพูดอย่างสงบว่า “แม่ยังไม่อยากพูดถึงมันตอนนี้ เรื่องที่แม่เขียนเพิ่งหายไปแล้วแม่ก็ไม่อยากพูดเพราะแม่หงุดหงิดมาก

“พวกเราเสียใจด้วยค่ะ” ลูกสาวคนโตพูด แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ๆ กันไปตลอดทางเหมือนรู้ว่าฉันต้องการความสงบ ฉันและลูก ๆ ทำกิจกรรมกันไปตลอดวัน แม้ว่าฉันจะเงียบกว่าปกติ แต่ฉันก็ไม่ได้ตะคอก และฉันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่คิดถึงเรื่องหนังสือ

และแล้วก็เกือบจะหมดวัน ฉันพาลูกคนเล็กเข้านอนแล้ว และกำลังนอนคุยอยู่กับลูกสาวคนโต

แล้วลูกก็ถามขึ้นมาเงียบ ๆ ว่า “แม่ว่าแม่จะดึงข้อมูลกลับมาได้มั้ยคะ”

ตอนนั้นฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เสียไป ฉันรู้ดีว่าฉันเขียนใหม่ได้ แต่เป็นเพราะฉันกำลังจะได้ปล่อยวางตัวเองจากความความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดจากการเขียนและแก้ไขเรื่องเสียที แต่แล้วความสำเร็จที่กำลังจะเอื้อมถึงก็ถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ฉันผิดหวังมาก

แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อลูกเอื้อมมือมาลูบผมฉันแล้วใช้คำพูดที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า “บางทีคอมพิวเตอร์ก็น่าโมโหนะคะ” และ “หนูไปช่วยดูให้ก็ได้นะคะว่าจะแก้ข้อมูลกลับมาได้รึเปล่า” และท้ายสุดก็พูดว่า “แม่ทำได้อยู่แล้วค่ะ แม่เป็นนักเขียนที่เก่งที่สุดที่หนูรู้จัก” และ “หนูจะช่วยแม่เท่าที่ทำได้นะคะ”

ในเวลาที่ฉันมี “ปัญหา” ลูกก็อยู่ตรงนั้น เป็นผู้ให้กำลังใจที่อดทนและเห็นอกเห็นใจโดยไม่คิดจะซ้ำเติมเมื่อฉันล้ม

 

ลูกของฉันคงจะไม่ได้เรียนรู้วิธีปลอบด้วยความเห็นใจอย่างนี้ถ้าฉันยังเป็นจอมตะคอก เพราะการแผดเสียงเป็นการปิดการสื่อสาร มันทำลายความสัมพันธ์ มันแยกคนออกจากกัน แทนที่จะทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เรื่องสำคัญคือ... คุณแม่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ แม้เมื่อฉันกำลังมีปัญหา”

ลูกของฉันเขียนถึงฉันแบบนั้น ผู้หญิงที่ได้ก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากที่ไม่น่าภาคภูมิใจ แต่เธอได้เรียนรู้แล้ว และจากคำพูดของลูก ฉันก็เห็นว่ายังมีความหวังสำหรับคนอื่นด้วย

เรื่องสำคัญก็คือ... ยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดแผดเสียง

เรื่องสำคัญก็คือ... ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าที่จะมัวโมโหกับอาหารที่หกเลอะเทอะหรือรองเท้าที่วางผิดที่ผิดทาง

เรื่องสำคัญก็คือ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน วันนี้ก็เป็นวันใหม่แล้ว

วันนี้ เราเลือกได้ที่จะตอบสนองอย่างสันติ

และเมื่อทำอย่างนั้น เราก็จะสอนลูก ๆ ของเราได้ว่า สันติภาพนั้นสามารถสร้างสะพานได้ สะพานที่จะช่วยพาเราก้าวผ่านพ้นปัญหาไป

Rachel Macy Stafford: The Hands Free Revolution


 #ปรับพฤติกรรมพ่อแม่ #สานสัมพันธ์ #เลิกตะคอกใส่ลูก

 

1 comments:

Anonymous said...

ขอบคุณทุกๆคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเอ็มจีโอโกโบเพื่อช่วยให้ฉันได้กลับมาที่เดิมฉันไม่มีวันทำงานและฉันช่วยฉันฉันไม่ได้เป็นนักสะกดคำเขาคือฉันได้ลองใช้เวทมนตร์คาถา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็แย่ลงก่อนที่ฉันจะไม่ขอบคุณเขา pls ช่วยฉันขอบคุณคุณสะกดล้อคุณสามารถติดต่อเขาใน whatsapp 0 7 0 6 4 2 2 7 4 7 1 หรือส่งอีเมลเขาในlẻogbo 34@gmail.com ติดต่อเขาตอนนี้และมีชีวิตที่ดี

Post a Comment

 

พลิกโลกได้ เริ่มจากใจดวงน้อย Copyright © 2011 Designed by Ipietoon Blogger Template and web hosting