#ควรฝึกลูกให้นอนเองหรือไม่
![Photo: #ควรฝึกลูกให้นอนเองหรือไม่#
“เด็กควรจะปลอบให้ตัวเองหลับไปเองได้ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึง ถ้าคุณไปกล่อมลูก หรือให้นม หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้ลูกหลับ เค้าก็จะไม่มีทางเรียนรู้ที่จะหลับได้ด้วยตัวเองอีก” [1]
“กันไว้ดีกว่าแก้ คุณเอาถุงเท้าสวมมือลูกไว้ดีมั้ย (คำแนะนำที่มีให้แม่ที่โดนลูกข่วนจนหน้าเหวอะระหว่างที่ปล่อยให้ลูกร้องตอนฝึกลูกให้นอนเอง” [2]
“ถ้าลูกขยับตัวกลางดึก อย่าเพิ่งคิดว่าหิว เราช่วยให้ลูกคุณมีนิสัยการนอนที่ดีได้ แม้แต่วัยแรกเกิด”
“เรามั่นใจว่าหลัง 4 เดือนไปแล้ว เด็กสามารถหลับทั้งคืนได้” [3]
“ไม่ว่าจะใช้วิธีปล่อยให้ร้องจนหลับไปเอง หรือปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่าง(ปลอบได้แต่ห้ามอุ้ม) ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดมากกว่าทำ โดยเฉพาะกับพ่อแม่มือใหม่” [4]
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นคำแนะนำที่พ่อแม่มือใหม่มักได้รับจากนักฝึกการนอนหลับ ธุรกิจฝึกให้ลูกนอนกำลังเติบโตมาก โดยเฉพาะกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่สัญญากับพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนว่าลูกที่งอแงไม่ยอมนอนจะหลับได้ทั้งคืน ส่วนใหญ่จะอ้างถึงวิธีการจากในหนังสือ “แก้ปัญหาลูกไม่ยอมนอน” ของ นพ. ริชาร์ด เฟอร์เบอร์ ที่แนะนำให้ปล่อยให้ร้องจนหลับ
@การฝึกให้นอนเอง ความสำเร็จระยะสั้นแต่ราคาแสนแพง@
การปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกไปเองขัดแย้งกับภูมิปัญญาเดิมที่บอกว่าการร้องคือการแสดงถึงความต้องการที่ควรได้รับการดูแล และขัดแย้งกับสัญชาติญาณของแม่ที่จะช่วยลดความทุกข์ของลูกอย่างแน่นอน
ระหว่างฝึก พ่อแม่จะต้องไม่สบตากับลูกหรืออุ้มลูกขึ้นมาเมื่อร้อง ให้ทำได้แค่พูดปลอบประโลม หรือตบเบา ๆ ที่ตัวลูก วิธีการของดร.เฟอร์เบอร์แนะนำให้เข้า ๆ ออก ๆ จากห้องของลูกทุก ๆ 2-3 นาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนเวลาที่จะเข้าไปหาลูกให้นานขึ้น แต่นักฝึกนอนบางคนบอกให้ลูกร้องจนหลับไปเอง ถ้าลูกอาเจียนเพราะร้องมากเกินไป ก็ให้ทำความสะอาด (โดยไม่อุ้มออกมาถ้าทำได้) ปล่อยไว้ในเตียง แล้วฝึกต่อไป ดร.เฟอร์เบอร์แนะนำว่าควรใช้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 เดือน แต่นักฝึกนอนหลายคนบอกให้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดได้เลย
การฝึกนอนมักทำให้เด็กนอนตลอดคืนได้สำเร็จภายใน 3-4 วัน แม้ว่าในบางกรณีจะต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ คนดังอย่างจิน่า ฟอร์ด (ผู้เขียน “เด็กน้อยผู้มีความสุข”) และ เทรซี ฮอกก์ (“นักฝึกเด็ก”) โด่งดังขึ้นมาได้เพราะแนะนำเรื่องการฝึกให้เด็กอ่อนนอนเอง
แต่จากการวิจัยและหลักฐานมากมายได้ระบุว่าความสำเร็จที่เหมือนจะได้มานี้มีอายุสั้นแต่มีราคาแสนแพง
การศึกษาระบุว่า หลังจากที่เด็กนอนได้ตลอดคืนแล้ว มักจะมีปัญหานอนน้อยตามมา ทำให้ยิ่งงอแง ตื่นบ่อย เนื่องจากการอดทนไม่ร้องไห้ในช่วงแรก นอกจากนี้ พัฒนาการใหม่ ๆ ต่าง ๆ เช่น การคลาน ฟันงอก ยังทำให้นอนได้น้อยลงด้วย
@สร้างความทุกข์ทรมานให้เด็กมาก@
จากการวิจัยของเวนดี มิดเดิลมิส จากมหาวิทยาลัยนอร์ท เท็กซัส [5] ได้แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากแม่ ยิ่งนานก็ยิ่งมีระดับความเครียดสูง ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการตอบสนองต่อความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรก ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้พัฒนาการของเด็กด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเป็นไปในลักษณะที่มากเกินพอดี ซึ่งทำให้มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการวางตัวและการเข้าสังคม เช่น มีอาการสมาธิสั้น ต่อต้านสังคม หรือแม้แต่เป็นโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่ฝึกการนอนเอง ทารกจะไม่ร้องในตอนกลางคืน แม้แต่เมื่อกำลังรู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ขาดการสานสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ ดังที่ดร.เซียร์ กุมารแพทย์ชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า “เด็กที่ ‘ถูกฝึก’ ไม่ให้แสดงความต้องการของตัวเอง อาจดูเหมือนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง หรือเป็น “เด็กดี” แต่เด็กพวกนี้อาจเป็นเด็กซึมเศร้า ที่ปิดกั้นไม่แสดงความต้องการของตัวเอง”
ผลการวิจัยก่อนหน้านั้นของไมเคิล คอมมอนส์และแพทริซ มิลเลอร์ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาวาร์ด แผนกจิตเวช แสดงให้เห็นว่า การไม่ตอบสนองต่อเสียงร้องของเด็กอย่างรวดเร็วจะทำให้เป็นโรคหวาดผวาและตื่นตระหนกในวัยผู้ใหญ่ได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “พ่อแม่ควรรับทราบว่าการปล่อยให้ลูกร้องไห้โดยไม่จำเป็น อาจทำอันตรายต่อเด็กอย่างถาวรได้ เพราะไปทำให้ระบบประสาทของเด็กตอบสนองต่อความบอบช้ำทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังมากเกินไป” [6]
ผู้ชำนาญการพิเศษบางคนก็เปลี่ยนมาไม่เห็นด้วยกับการฝึกนอนเองแล้ว ดร.กาบอร์ เมทได้ลงบทความในหนังสือพิมพ์ของแคนาดา The Global and Mail ว่า “เหตุที่ผมไม่เชื่อว่าเด็กควรจะร้องจะหลับไปเอง [7] เพราะในฐานะแพทย์ประจำบ้าน ผมได้แนะนำให้ใช้เทคนิคเฟอร์เบอร์ และในฐานะพ่อ ก็ได้ใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน เลยเชื่อว่าวิธีนี้เป็นผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว... แม้ว่าเด็กจะจำไม่ได้ว่าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างในช่วงขวบปีแรก แต่มันจะประทับรอยไว้เป็นรูปแบบในการรับรู้โลกภายนอกและส่งผลต่อปฏิกิริยาที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว และมันอาจจะคงอยู่ไปชั่วชีวิต แม้แต่ตัวดร.เฟอร์เบอร์เอง ในหนังสือที่พิมพ์ใหม่ครั้งล่าสุด ยังต้องใส่คำเตือนไว้ในคำนำว่า”ผมไม่สนับสนุนให้ทิ้งเด็กไว้ในที่นอนและปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียวนาน ๆ จนหลับไป ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”
@ผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว@
ผลเสียของการฝึกให้นอนเองที่ได้แสดงไว้ในผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ข้างต้นยังเหมือนกับประสบการณ์ที่พ่อแม่ผู้ทุกข์ร้อนจำนวนมากได้ประสบด้วยตนเองและกำลังหาความช่วยเหลืออยู่
“หลังจากสัปดาห์แรกที่ฝึก เค้าก็หลับได้ แต่หยุดพูดไปเลย (ลูกกำลังพูดเป็นคำ ๆ อยู่) ปีที่แล้ว ลูกไม่ยอมให้ดิฉันแตะต้องตัวเลย ถ้าเค้าเจ็บ เค้าก็จะไปให้พี่ชาย (วัยก่อนเรียน) ปลอบ ดิฉันรู้สึกเลวร้ายมากที่ทรยศลูก”
“ดิฉันใช้เวลา 5 ชั่วโมงในแต่ละคืน เข้าไปหาลูกทุก 5 นาที แล้วค่อย ๆ ทิ้งระยะเป็น 10 นาที 15 นาที แต่ลูกก็ไม่ยอมนอน ลูกอาเจียนหลายรอบจนเลือดออกจมูก ทั้ง ๆ ที่ง่วงมากแล้วแต่ก็ไม่ยอมนอน มันไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติเลยที่จะปล่อยให้ลูกร้องมากและนานขนาดนี้”
“ผ่านมาสองปีครึ่ง... ลูกของดิฉันกลายเป็นเด็กวัยเตาะแตะที่มีความไม่มั่นคง ขี้อิจฉาและก้าวร้าว แล้วยังมีอาการติดแม่อย่างรุนแรงและไม่ยอมนอนด้วย”
“เมื่อคืน ฉันตัดสินในผิดที่เชิญเพื่อน ๆ มาที่บ้าน เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบต่อลูก และลูกก็ร้องไห้อยู่ 52 นาที ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ ที่ปล่อยให้ลูกร้อง ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าคิดถูก ลูกอารณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ลูกหงุดหงิดกว่าปกติมาก เค้ากำลังจะครบ 6 เดือนในอีกไม่กี่วันนี้ แล้วก็มีอาการเรียกร้องมาก ดูเศร้า ๆ แล้วก็อารมณ์ร้าย ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย นี่ฉันทำให้ลูกบอบช้ำทางใจรึเปล่านะ”
ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการฝึกนอนเองดูเหมือนจะได้รับการรับรองด้วยหลักฐานที่มากมายมหาศาลในชีวิตจริง ความไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นและมีเสียงที่ดังขึ้น เช่น สมาคมเพื่อสุขภาพใจของเด็กประเทศออสเตรเลียได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรใช้วิธีฝึกนอนเอง “การปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทารกต้องการเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่เหมาะสม และอาจส่งผลลบตามมาได้” [8] ศาสตราจารย์เจมส์ แมคเคนนา ผู้อำนวยการศูนย์พฤติกรรมการนอนของแม่และเด็ก มหาวิทยาลัยโนตเตอระดาม ถึงขั้นเรียกการฝึกนอนเองว่า “เป็นความเชื่อของสังคมที่แอบอ้างชื่อของวิทยาศาสตร์ [9]
การให้ความสนใจต่อเด็กเป็นหลักอาจไม่สะดวกนักสำหรับพ่อแม่ เด็กร้องตอนกลางคืนเป็นเรื่องธรรมชาติ และสัญชาติญาณของแม่ก็จะต้องตอบสนองต่อความต้องการอขงลูก แม้จะหมายถึงการไม่ได้หลับไม่ได้นอนและความเหนื่อยล้า ไม่มีพ่อแม่ที่ใส่ใจคนไหนจะอยากเสี่ยงกับสุขภาพของเด็กด้วยการเชื่อคำของคนที่ไม่ได้มีใบอนุญาตทางการแพทย์ พ่อแม่จึงไม่ควรเชื่อคำแนะนำของนักฝึกนอนที่ไม่มีคำห้อยท้ายอย่างหูหนวกตาบอด เพราะนั่นหมายความว่าเป็นการเอาสภาพทางจิตของลูกมาเสี่ยง
ดูรายละเอียดเอกสารอ้างอิงได้จากข้อความต้นฉบับ
http://spoiledmum.com/to-sleep-train-or-not-to-sleep-train/](https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/292622_135956726601152_1563037158_n.png)
ความเชื่อ?
“เด็กควรจะปลอบให้ตัวเองหลับไปเองได้ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึง ถ้าคุณไปกล่อมลูก หรือให้นม หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้ลูกหลับ เค้าก็จะไม่มีทางเรียนรู้ที่จะหลับได้ด้วยตัวเองอีก” [1]
“กันไว้ดีกว่าแก้ คุณเอาถุงเท้าสวมมือลูกไว้ดีมั้ย (คำแนะนำที่มีให้แม่ที่โดนลูกข่วนจนหน้าเหวอะระหว่างที่ปล่อยให้ลูกร้องตอนฝึกลูกให้นอนเอง” [2]
“ถ้าลูกขยับตัวกลางดึก อย่าเพิ่งคิดว่าหิว เราช่วยให้ลูกคุณมีนิสัยการนอนที่ดีได้ แม้แต่วัยแรกเกิด”
“เรามั่นใจว่าหลัง 4 เดือนไปแล้ว เด็กสามารถหลับทั้งคืนได้” [3]
“ไม่ว่าจะใช้วิธีปล่อยให้ร้องจนหลับไปเอง หรือปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่าง(ปลอบได้แต่ห้ามอุ้ม) ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดมากกว่าทำ โดยเฉพาะกับพ่อแม่มือใหม่” [4]
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นคำแนะนำที่พ่อแม่มือใหม่มักได้รับจากนักฝึกการนอนหลับ ธุรกิจฝึกให้ลูกนอนกำลังเติบโตมาก โดยเฉพาะกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่สัญญากับพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนว่าลูกที่งอแงไม่ยอมนอนจะหลับได้ทั้งคืน ส่วนใหญ่จะอ้างถึงวิธีการจากในหนังสือ “แก้ปัญหาลูกไม่ยอมนอน” ของ นพ. ริชาร์ด เฟอร์เบอร์ ที่แนะนำให้ปล่อยให้ร้องจนหลับ
#การฝึกให้นอนเอง ความสำเร็จระยะสั้นแต่ราคาแสนแพง
การปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกไปเองขัดแย้งกับภูมิปัญญาเดิมที่บอกว่าการร้องคือการแสดงถึงความต้องการที่ควรได้รับการดูแล และขัดแย้งกับสัญชาติญาณของแม่ที่จะช่วยลดความทุกข์ของลูกอย่างแน่นอน
ระหว่างฝึก พ่อแม่จะต้องไม่สบตากับลูกหรืออุ้มลูกขึ้นมาเมื่อร้อง ให้ทำได้แค่พูดปลอบประโลม หรือตบเบา ๆ ที่ตัวลูก วิธีการของดร.เฟอร์เบอร์แนะนำให้เข้า ๆ ออก ๆ จากห้องของลูกทุก ๆ 2-3 นาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนเวลาที่จะเข้าไปหาลูกให้นานขึ้น แต่นักฝึกนอนบางคนบอกให้ลูกร้องจนหลับไปเอง ถ้าลูกอาเจียนเพราะร้องมากเกินไป ก็ให้ทำความสะอาด (โดยไม่อุ้มออกมาถ้าทำได้) ปล่อยไว้ในเตียง แล้วฝึกต่อไป ดร.เฟอร์เบอร์แนะนำว่าควรใช้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 เดือน แต่นักฝึกนอนหลายคนบอกให้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดได้เลย
การฝึกนอนมักทำให้เด็กนอนตลอดคืนได้สำเร็จภายใน 3-4 วัน แม้ว่าในบางกรณีจะต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ คนดังอย่างจิน่า ฟอร์ด (ผู้เขียน “เด็กน้อยผู้มีความสุข”) และ เทรซี ฮอกก์ (“นักฝึกเด็ก”) โด่งดังขึ้นมาได้เพราะแนะนำเรื่องการฝึกให้เด็กอ่อนนอนเอง
แต่จากการวิจัยและหลักฐานมากมายได้ระบุว่าความสำเร็จที่เหมือนจะได้มานี้มีอายุสั้นแต่มีราคาแสนแพง
การศึกษาระบุว่า หลังจากที่เด็กนอนได้ตลอดคืนแล้ว มักจะมีปัญหานอนน้อยตามมา ทำให้ยิ่งงอแง ตื่นบ่อย เนื่องจากการอดทนไม่ร้องไห้ในช่วงแรก นอกจากนี้ พัฒนาการใหม่ ๆ ต่าง ๆ เช่น การคลาน ฟันงอก ยังทำให้นอนได้น้อยลงด้วย

#สร้างความทุกข์ทรมานให้เด็กมาก@
จากการวิจัยของเวนดี มิดเดิลมิส จากมหาวิทยาลัยนอร์ท เท็กซัส [5] ได้แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากแม่ ยิ่งนานก็ยิ่งมีระดับความเครียดสูง ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการตอบสนองต่อความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรก ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้พัฒนาการของเด็กด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเป็นไปในลักษณะที่มากเกินพอดี ซึ่งทำให้มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการวางตัวและการเข้าสังคม เช่น มีอาการสมาธิสั้น ต่อต้านสังคม หรือแม้แต่เป็นโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่ฝึกการนอนเอง ทารกจะไม่ร้องในตอนกลางคืน แม้แต่เมื่อกำลังรู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ขาดการสานสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ ดังที่ดร.เซียร์ กุมารแพทย์ชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า “เด็กที่ ‘ถูกฝึก’ ไม่ให้แสดงความต้องการของตัวเอง อาจดูเหมือนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง หรือเป็น “เด็กดี” แต่เด็กพวกนี้อาจเป็นเด็กซึมเศร้า ที่ปิดกั้นไม่แสดงความต้องการของตัวเอง”
ผลการวิจัยก่อนหน้านั้นของไมเคิล คอมมอนส์และแพทริซ มิลเลอร์ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาวาร์ด แผนกจิตเวช แสดงให้เห็นว่า การไม่ตอบสนองต่อเสียงร้องของเด็กอย่างรวดเร็วจะทำให้เป็นโรคหวาดผวาและตื่นตระหนกในวัยผู้ใหญ่ได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “พ่อแม่ควรรับทราบว่าการปล่อยให้ลูกร้องไห้โดยไม่จำเป็น อาจทำอันตรายต่อเด็กอย่างถาวรได้ เพราะไปทำให้ระบบประสาทของเด็กตอบสนองต่อความบอบช้ำทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังมากเกินไป” [6]
ผู้ชำนาญการพิเศษบางคนก็เปลี่ยนมาไม่เห็นด้วยกับการฝึกนอนเองแล้ว ดร.กาบอร์ เมทได้ลงบทความในหนังสือพิมพ์ของแคนาดา The Global and Mail ว่า “เหตุที่ผมไม่เชื่อว่าเด็กควรจะร้องจะหลับไปเอง [7] เพราะในฐานะแพทย์ประจำบ้าน ผมได้แนะนำให้ใช้เทคนิคเฟอร์เบอร์ และในฐานะพ่อ ก็ได้ใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน เลยเชื่อว่าวิธีนี้เป็นผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว... แม้ว่าเด็กจะจำไม่ได้ว่าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างในช่วงขวบปีแรก แต่มันจะประทับรอยไว้เป็นรูปแบบในการรับรู้โลกภายนอกและส่งผลต่อปฏิกิริยาที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว และมันอาจจะคงอยู่ไปชั่วชีวิต แม้แต่ตัวดร.เฟอร์เบอร์เอง ในหนังสือที่พิมพ์ใหม่ครั้งล่าสุด ยังต้องใส่คำเตือนไว้ในคำนำว่า”ผมไม่สนับสนุนให้ทิ้งเด็กไว้ในที่นอนและปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียวนาน ๆ จนหลับไป ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”
#ผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว@
ผลเสียของการฝึกให้นอนเองที่ได้แสดงไว้ในผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ข้างต้นยังเหมือนกับประสบการณ์ที่พ่อแม่ผู้ทุกข์ร้อนจำนวนมากได้ประสบด้วยตนเองและกำลังหาความช่วยเหลืออยู่
“หลังจากสัปดาห์แรกที่ฝึก เค้าก็หลับได้ แต่หยุดพูดไปเลย (ลูกกำลังพูดเป็นคำ ๆ อยู่) ปีที่แล้ว ลูกไม่ยอมให้ดิฉันแตะต้องตัวเลย ถ้าเค้าเจ็บ เค้าก็จะไปให้พี่ชาย (วัยก่อนเรียน) ปลอบ ดิฉันรู้สึกเลวร้ายมากที่ทรยศลูก”
“ดิฉันใช้เวลา 5 ชั่วโมงในแต่ละคืน เข้าไปหาลูกทุก 5 นาที แล้วค่อย ๆ ทิ้งระยะเป็น 10 นาที 15 นาที แต่ลูกก็ไม่ยอมนอน ลูกอาเจียนหลายรอบจนเลือดออกจมูก ทั้ง ๆ ที่ง่วงมากแล้วแต่ก็ไม่ยอมนอน มันไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติเลยที่จะปล่อยให้ลูกร้องมากและนานขนาดนี้”
“ผ่านมาสองปีครึ่ง... ลูกของดิฉันกลายเป็นเด็กวัยเตาะแตะที่มีความไม่มั่นคง ขี้อิจฉาและก้าวร้าว แล้วยังมีอาการติดแม่อย่างรุนแรงและไม่ยอมนอนด้วย”
“เมื่อคืน ฉันตัดสินในผิดที่เชิญเพื่อน ๆ มาที่บ้าน เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบต่อลูก และลูกก็ร้องไห้อยู่ 52 นาที ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ ที่ปล่อยให้ลูกร้อง ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าคิดถูก ลูกอารณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ลูกหงุดหงิดกว่าปกติมาก เค้ากำลังจะครบ 6 เดือนในอีกไม่กี่วันนี้ แล้วก็มีอาการเรียกร้องมาก ดูเศร้า ๆ แล้วก็อารมณ์ร้าย ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย นี่ฉันทำให้ลูกบอบช้ำทางใจรึเปล่านะ”
ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการฝึกนอนเองดูเหมือนจะได้รับการรับรองด้วยหลักฐานที่มากมายมหาศาลในชีวิตจริง ความไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นและมีเสียงที่ดังขึ้น เช่น สมาคมเพื่อสุขภาพใจของเด็กประเทศออสเตรเลียได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรใช้วิธีฝึกนอนเอง “การปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทารกต้องการเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่เหมาะสม และอาจส่งผลลบตามมาได้” [8] ศาสตราจารย์เจมส์ แมคเคนนา ผู้อำนวยการศูนย์พฤติกรรมการนอนของแม่และเด็ก มหาวิทยาลัยโนตเตอระดาม ถึงขั้นเรียกการฝึกนอนเองว่า “เป็นความเชื่อของสังคมที่แอบอ้างชื่อของวิทยาศาสตร์ [9]
การให้ความสนใจต่อเด็กเป็นหลักอาจไม่สะดวกนักสำหรับพ่อแม่ เด็กร้องตอนกลางคืนเป็นเรื่องธรรมชาติ และสัญชาติญาณของแม่ก็จะต้องตอบสนองต่อความต้องการของลูก แม้จะหมายถึงการไม่ได้หลับไม่ได้นอนและความเหนื่อยล้า ไม่มีพ่อแม่ที่ใส่ใจคนไหนจะอยากเสี่ยงกับสุขภาพของเด็กด้วยการเชื่อคำของคนที่ไม่ได้มีใบอนุญาตทางการแพทย์ พ่อแม่จึงไม่ควรเชื่อคำแนะนำของนักฝึกนอนที่ไม่มีคำห้อยท้ายอย่างหูหนวกตาบอด เพราะนั่นหมายความว่าเป็นการเอาสภาพทางจิตของลูกมาเสี่ยง
ดูรายละเอียดเอกสารอ้างอิงได้จากข้อความต้นฉบับ
http://spoiledmum.com/to-sleep-train-or-not-to-sleep-train/
#ฝึกลูกนอนเองดีหรือไม่ #นอนกับลูก #ให้ลูกนอนเอง #ให้ลูกนอนแยกเตียง
![Photo: #ควรฝึกลูกให้นอนเองหรือไม่#
“เด็กควรจะปลอบให้ตัวเองหลับไปเองได้ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึง ถ้าคุณไปกล่อมลูก หรือให้นม หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้ลูกหลับ เค้าก็จะไม่มีทางเรียนรู้ที่จะหลับได้ด้วยตัวเองอีก” [1]
“กันไว้ดีกว่าแก้ คุณเอาถุงเท้าสวมมือลูกไว้ดีมั้ย (คำแนะนำที่มีให้แม่ที่โดนลูกข่วนจนหน้าเหวอะระหว่างที่ปล่อยให้ลูกร้องตอนฝึกลูกให้นอนเอง” [2]
“ถ้าลูกขยับตัวกลางดึก อย่าเพิ่งคิดว่าหิว เราช่วยให้ลูกคุณมีนิสัยการนอนที่ดีได้ แม้แต่วัยแรกเกิด”
“เรามั่นใจว่าหลัง 4 เดือนไปแล้ว เด็กสามารถหลับทั้งคืนได้” [3]
“ไม่ว่าจะใช้วิธีปล่อยให้ร้องจนหลับไปเอง หรือปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่าง(ปลอบได้แต่ห้ามอุ้ม) ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดมากกว่าทำ โดยเฉพาะกับพ่อแม่มือใหม่” [4]
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นคำแนะนำที่พ่อแม่มือใหม่มักได้รับจากนักฝึกการนอนหลับ ธุรกิจฝึกให้ลูกนอนกำลังเติบโตมาก โดยเฉพาะกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่สัญญากับพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนว่าลูกที่งอแงไม่ยอมนอนจะหลับได้ทั้งคืน ส่วนใหญ่จะอ้างถึงวิธีการจากในหนังสือ “แก้ปัญหาลูกไม่ยอมนอน” ของ นพ. ริชาร์ด เฟอร์เบอร์ ที่แนะนำให้ปล่อยให้ร้องจนหลับ
@การฝึกให้นอนเอง ความสำเร็จระยะสั้นแต่ราคาแสนแพง@
การปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกไปเองขัดแย้งกับภูมิปัญญาเดิมที่บอกว่าการร้องคือการแสดงถึงความต้องการที่ควรได้รับการดูแล และขัดแย้งกับสัญชาติญาณของแม่ที่จะช่วยลดความทุกข์ของลูกอย่างแน่นอน
ระหว่างฝึก พ่อแม่จะต้องไม่สบตากับลูกหรืออุ้มลูกขึ้นมาเมื่อร้อง ให้ทำได้แค่พูดปลอบประโลม หรือตบเบา ๆ ที่ตัวลูก วิธีการของดร.เฟอร์เบอร์แนะนำให้เข้า ๆ ออก ๆ จากห้องของลูกทุก ๆ 2-3 นาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนเวลาที่จะเข้าไปหาลูกให้นานขึ้น แต่นักฝึกนอนบางคนบอกให้ลูกร้องจนหลับไปเอง ถ้าลูกอาเจียนเพราะร้องมากเกินไป ก็ให้ทำความสะอาด (โดยไม่อุ้มออกมาถ้าทำได้) ปล่อยไว้ในเตียง แล้วฝึกต่อไป ดร.เฟอร์เบอร์แนะนำว่าควรใช้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 เดือน แต่นักฝึกนอนหลายคนบอกให้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดได้เลย
การฝึกนอนมักทำให้เด็กนอนตลอดคืนได้สำเร็จภายใน 3-4 วัน แม้ว่าในบางกรณีจะต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ คนดังอย่างจิน่า ฟอร์ด (ผู้เขียน “เด็กน้อยผู้มีความสุข”) และ เทรซี ฮอกก์ (“นักฝึกเด็ก”) โด่งดังขึ้นมาได้เพราะแนะนำเรื่องการฝึกให้เด็กอ่อนนอนเอง
แต่จากการวิจัยและหลักฐานมากมายได้ระบุว่าความสำเร็จที่เหมือนจะได้มานี้มีอายุสั้นแต่มีราคาแสนแพง
การศึกษาระบุว่า หลังจากที่เด็กนอนได้ตลอดคืนแล้ว มักจะมีปัญหานอนน้อยตามมา ทำให้ยิ่งงอแง ตื่นบ่อย เนื่องจากการอดทนไม่ร้องไห้ในช่วงแรก นอกจากนี้ พัฒนาการใหม่ ๆ ต่าง ๆ เช่น การคลาน ฟันงอก ยังทำให้นอนได้น้อยลงด้วย
@สร้างความทุกข์ทรมานให้เด็กมาก@
จากการวิจัยของเวนดี มิดเดิลมิส จากมหาวิทยาลัยนอร์ท เท็กซัส [5] ได้แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากแม่ ยิ่งนานก็ยิ่งมีระดับความเครียดสูง ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการตอบสนองต่อความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรก ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้พัฒนาการของเด็กด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเป็นไปในลักษณะที่มากเกินพอดี ซึ่งทำให้มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการวางตัวและการเข้าสังคม เช่น มีอาการสมาธิสั้น ต่อต้านสังคม หรือแม้แต่เป็นโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่ฝึกการนอนเอง ทารกจะไม่ร้องในตอนกลางคืน แม้แต่เมื่อกำลังรู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ขาดการสานสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ ดังที่ดร.เซียร์ กุมารแพทย์ชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า “เด็กที่ ‘ถูกฝึก’ ไม่ให้แสดงความต้องการของตัวเอง อาจดูเหมือนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง หรือเป็น “เด็กดี” แต่เด็กพวกนี้อาจเป็นเด็กซึมเศร้า ที่ปิดกั้นไม่แสดงความต้องการของตัวเอง”
ผลการวิจัยก่อนหน้านั้นของไมเคิล คอมมอนส์และแพทริซ มิลเลอร์ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาวาร์ด แผนกจิตเวช แสดงให้เห็นว่า การไม่ตอบสนองต่อเสียงร้องของเด็กอย่างรวดเร็วจะทำให้เป็นโรคหวาดผวาและตื่นตระหนกในวัยผู้ใหญ่ได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “พ่อแม่ควรรับทราบว่าการปล่อยให้ลูกร้องไห้โดยไม่จำเป็น อาจทำอันตรายต่อเด็กอย่างถาวรได้ เพราะไปทำให้ระบบประสาทของเด็กตอบสนองต่อความบอบช้ำทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังมากเกินไป” [6]
ผู้ชำนาญการพิเศษบางคนก็เปลี่ยนมาไม่เห็นด้วยกับการฝึกนอนเองแล้ว ดร.กาบอร์ เมทได้ลงบทความในหนังสือพิมพ์ของแคนาดา The Global and Mail ว่า “เหตุที่ผมไม่เชื่อว่าเด็กควรจะร้องจะหลับไปเอง [7] เพราะในฐานะแพทย์ประจำบ้าน ผมได้แนะนำให้ใช้เทคนิคเฟอร์เบอร์ และในฐานะพ่อ ก็ได้ใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน เลยเชื่อว่าวิธีนี้เป็นผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว... แม้ว่าเด็กจะจำไม่ได้ว่าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างในช่วงขวบปีแรก แต่มันจะประทับรอยไว้เป็นรูปแบบในการรับรู้โลกภายนอกและส่งผลต่อปฏิกิริยาที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว และมันอาจจะคงอยู่ไปชั่วชีวิต แม้แต่ตัวดร.เฟอร์เบอร์เอง ในหนังสือที่พิมพ์ใหม่ครั้งล่าสุด ยังต้องใส่คำเตือนไว้ในคำนำว่า”ผมไม่สนับสนุนให้ทิ้งเด็กไว้ในที่นอนและปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียวนาน ๆ จนหลับไป ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”
@ผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว@
ผลเสียของการฝึกให้นอนเองที่ได้แสดงไว้ในผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ข้างต้นยังเหมือนกับประสบการณ์ที่พ่อแม่ผู้ทุกข์ร้อนจำนวนมากได้ประสบด้วยตนเองและกำลังหาความช่วยเหลืออยู่
“หลังจากสัปดาห์แรกที่ฝึก เค้าก็หลับได้ แต่หยุดพูดไปเลย (ลูกกำลังพูดเป็นคำ ๆ อยู่) ปีที่แล้ว ลูกไม่ยอมให้ดิฉันแตะต้องตัวเลย ถ้าเค้าเจ็บ เค้าก็จะไปให้พี่ชาย (วัยก่อนเรียน) ปลอบ ดิฉันรู้สึกเลวร้ายมากที่ทรยศลูก”
“ดิฉันใช้เวลา 5 ชั่วโมงในแต่ละคืน เข้าไปหาลูกทุก 5 นาที แล้วค่อย ๆ ทิ้งระยะเป็น 10 นาที 15 นาที แต่ลูกก็ไม่ยอมนอน ลูกอาเจียนหลายรอบจนเลือดออกจมูก ทั้ง ๆ ที่ง่วงมากแล้วแต่ก็ไม่ยอมนอน มันไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติเลยที่จะปล่อยให้ลูกร้องมากและนานขนาดนี้”
“ผ่านมาสองปีครึ่ง... ลูกของดิฉันกลายเป็นเด็กวัยเตาะแตะที่มีความไม่มั่นคง ขี้อิจฉาและก้าวร้าว แล้วยังมีอาการติดแม่อย่างรุนแรงและไม่ยอมนอนด้วย”
“เมื่อคืน ฉันตัดสินในผิดที่เชิญเพื่อน ๆ มาที่บ้าน เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบต่อลูก และลูกก็ร้องไห้อยู่ 52 นาที ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ ที่ปล่อยให้ลูกร้อง ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าคิดถูก ลูกอารณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ลูกหงุดหงิดกว่าปกติมาก เค้ากำลังจะครบ 6 เดือนในอีกไม่กี่วันนี้ แล้วก็มีอาการเรียกร้องมาก ดูเศร้า ๆ แล้วก็อารมณ์ร้าย ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย นี่ฉันทำให้ลูกบอบช้ำทางใจรึเปล่านะ”
ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการฝึกนอนเองดูเหมือนจะได้รับการรับรองด้วยหลักฐานที่มากมายมหาศาลในชีวิตจริง ความไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นและมีเสียงที่ดังขึ้น เช่น สมาคมเพื่อสุขภาพใจของเด็กประเทศออสเตรเลียได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรใช้วิธีฝึกนอนเอง “การปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทารกต้องการเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่เหมาะสม และอาจส่งผลลบตามมาได้” [8] ศาสตราจารย์เจมส์ แมคเคนนา ผู้อำนวยการศูนย์พฤติกรรมการนอนของแม่และเด็ก มหาวิทยาลัยโนตเตอระดาม ถึงขั้นเรียกการฝึกนอนเองว่า “เป็นความเชื่อของสังคมที่แอบอ้างชื่อของวิทยาศาสตร์ [9]
การให้ความสนใจต่อเด็กเป็นหลักอาจไม่สะดวกนักสำหรับพ่อแม่ เด็กร้องตอนกลางคืนเป็นเรื่องธรรมชาติ และสัญชาติญาณของแม่ก็จะต้องตอบสนองต่อความต้องการอขงลูก แม้จะหมายถึงการไม่ได้หลับไม่ได้นอนและความเหนื่อยล้า ไม่มีพ่อแม่ที่ใส่ใจคนไหนจะอยากเสี่ยงกับสุขภาพของเด็กด้วยการเชื่อคำของคนที่ไม่ได้มีใบอนุญาตทางการแพทย์ พ่อแม่จึงไม่ควรเชื่อคำแนะนำของนักฝึกนอนที่ไม่มีคำห้อยท้ายอย่างหูหนวกตาบอด เพราะนั่นหมายความว่าเป็นการเอาสภาพทางจิตของลูกมาเสี่ยง
ดูรายละเอียดเอกสารอ้างอิงได้จากข้อความต้นฉบับ
http://spoiledmum.com/to-sleep-train-or-not-to-sleep-train/](https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/292622_135956726601152_1563037158_n.png)
ความเชื่อ?
“เด็กควรจะปลอบให้ตัวเองหลับไปเองได้ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึง ถ้าคุณไปกล่อมลูก หรือให้นม หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้ลูกหลับ เค้าก็จะไม่มีทางเรียนรู้ที่จะหลับได้ด้วยตัวเองอีก” [1]
“กันไว้ดีกว่าแก้ คุณเอาถุงเท้าสวมมือลูกไว้ดีมั้ย (คำแนะนำที่มีให้แม่ที่โดนลูกข่วนจนหน้าเหวอะระหว่างที่ปล่อยให้ลูกร้องตอนฝึกลูกให้นอนเอง” [2]
“ถ้าลูกขยับตัวกลางดึก อย่าเพิ่งคิดว่าหิว เราช่วยให้ลูกคุณมีนิสัยการนอนที่ดีได้ แม้แต่วัยแรกเกิด”
“เรามั่นใจว่าหลัง 4 เดือนไปแล้ว เด็กสามารถหลับทั้งคืนได้” [3]
“ไม่ว่าจะใช้วิธีปล่อยให้ร้องจนหลับไปเอง หรือปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่าง(ปลอบได้แต่ห้ามอุ้ม) ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดมากกว่าทำ โดยเฉพาะกับพ่อแม่มือใหม่” [4]
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นคำแนะนำที่พ่อแม่มือใหม่มักได้รับจากนักฝึกการนอนหลับ ธุรกิจฝึกให้ลูกนอนกำลังเติบโตมาก โดยเฉพาะกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่สัญญากับพ่อแม่ที่อดหลับอดนอนว่าลูกที่งอแงไม่ยอมนอนจะหลับได้ทั้งคืน ส่วนใหญ่จะอ้างถึงวิธีการจากในหนังสือ “แก้ปัญหาลูกไม่ยอมนอน” ของ นพ. ริชาร์ด เฟอร์เบอร์ ที่แนะนำให้ปล่อยให้ร้องจนหลับ
#การฝึกให้นอนเอง ความสำเร็จระยะสั้นแต่ราคาแสนแพง
การปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกไปเองขัดแย้งกับภูมิปัญญาเดิมที่บอกว่าการร้องคือการแสดงถึงความต้องการที่ควรได้รับการดูแล และขัดแย้งกับสัญชาติญาณของแม่ที่จะช่วยลดความทุกข์ของลูกอย่างแน่นอน
ระหว่างฝึก พ่อแม่จะต้องไม่สบตากับลูกหรืออุ้มลูกขึ้นมาเมื่อร้อง ให้ทำได้แค่พูดปลอบประโลม หรือตบเบา ๆ ที่ตัวลูก วิธีการของดร.เฟอร์เบอร์แนะนำให้เข้า ๆ ออก ๆ จากห้องของลูกทุก ๆ 2-3 นาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนเวลาที่จะเข้าไปหาลูกให้นานขึ้น แต่นักฝึกนอนบางคนบอกให้ลูกร้องจนหลับไปเอง ถ้าลูกอาเจียนเพราะร้องมากเกินไป ก็ให้ทำความสะอาด (โดยไม่อุ้มออกมาถ้าทำได้) ปล่อยไว้ในเตียง แล้วฝึกต่อไป ดร.เฟอร์เบอร์แนะนำว่าควรใช้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 เดือน แต่นักฝึกนอนหลายคนบอกให้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดได้เลย
การฝึกนอนมักทำให้เด็กนอนตลอดคืนได้สำเร็จภายใน 3-4 วัน แม้ว่าในบางกรณีจะต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ คนดังอย่างจิน่า ฟอร์ด (ผู้เขียน “เด็กน้อยผู้มีความสุข”) และ เทรซี ฮอกก์ (“นักฝึกเด็ก”) โด่งดังขึ้นมาได้เพราะแนะนำเรื่องการฝึกให้เด็กอ่อนนอนเอง
แต่จากการวิจัยและหลักฐานมากมายได้ระบุว่าความสำเร็จที่เหมือนจะได้มานี้มีอายุสั้นแต่มีราคาแสนแพง
การศึกษาระบุว่า หลังจากที่เด็กนอนได้ตลอดคืนแล้ว มักจะมีปัญหานอนน้อยตามมา ทำให้ยิ่งงอแง ตื่นบ่อย เนื่องจากการอดทนไม่ร้องไห้ในช่วงแรก นอกจากนี้ พัฒนาการใหม่ ๆ ต่าง ๆ เช่น การคลาน ฟันงอก ยังทำให้นอนได้น้อยลงด้วย

#สร้างความทุกข์ทรมานให้เด็กมาก@
จากการวิจัยของเวนดี มิดเดิลมิส จากมหาวิทยาลัยนอร์ท เท็กซัส [5] ได้แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากแม่ ยิ่งนานก็ยิ่งมีระดับความเครียดสูง ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการตอบสนองต่อความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรก ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้พัฒนาการของเด็กด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเป็นไปในลักษณะที่มากเกินพอดี ซึ่งทำให้มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการวางตัวและการเข้าสังคม เช่น มีอาการสมาธิสั้น ต่อต้านสังคม หรือแม้แต่เป็นโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า ช่วงที่ฝึกการนอนเอง ทารกจะไม่ร้องในตอนกลางคืน แม้แต่เมื่อกำลังรู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งทำให้ขาดการสานสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ ดังที่ดร.เซียร์ กุมารแพทย์ชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า “เด็กที่ ‘ถูกฝึก’ ไม่ให้แสดงความต้องการของตัวเอง อาจดูเหมือนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง หรือเป็น “เด็กดี” แต่เด็กพวกนี้อาจเป็นเด็กซึมเศร้า ที่ปิดกั้นไม่แสดงความต้องการของตัวเอง”
ผลการวิจัยก่อนหน้านั้นของไมเคิล คอมมอนส์และแพทริซ มิลเลอร์ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาวาร์ด แผนกจิตเวช แสดงให้เห็นว่า การไม่ตอบสนองต่อเสียงร้องของเด็กอย่างรวดเร็วจะทำให้เป็นโรคหวาดผวาและตื่นตระหนกในวัยผู้ใหญ่ได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “พ่อแม่ควรรับทราบว่าการปล่อยให้ลูกร้องไห้โดยไม่จำเป็น อาจทำอันตรายต่อเด็กอย่างถาวรได้ เพราะไปทำให้ระบบประสาทของเด็กตอบสนองต่อความบอบช้ำทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังมากเกินไป” [6]
ผู้ชำนาญการพิเศษบางคนก็เปลี่ยนมาไม่เห็นด้วยกับการฝึกนอนเองแล้ว ดร.กาบอร์ เมทได้ลงบทความในหนังสือพิมพ์ของแคนาดา The Global and Mail ว่า “เหตุที่ผมไม่เชื่อว่าเด็กควรจะร้องจะหลับไปเอง [7] เพราะในฐานะแพทย์ประจำบ้าน ผมได้แนะนำให้ใช้เทคนิคเฟอร์เบอร์ และในฐานะพ่อ ก็ได้ใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน เลยเชื่อว่าวิธีนี้เป็นผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว... แม้ว่าเด็กจะจำไม่ได้ว่าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างในช่วงขวบปีแรก แต่มันจะประทับรอยไว้เป็นรูปแบบในการรับรู้โลกภายนอกและส่งผลต่อปฏิกิริยาที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัว และมันอาจจะคงอยู่ไปชั่วชีวิต แม้แต่ตัวดร.เฟอร์เบอร์เอง ในหนังสือที่พิมพ์ใหม่ครั้งล่าสุด ยังต้องใส่คำเตือนไว้ในคำนำว่า”ผมไม่สนับสนุนให้ทิ้งเด็กไว้ในที่นอนและปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียวนาน ๆ จนหลับไป ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”
#ผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็กและต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว@
ผลเสียของการฝึกให้นอนเองที่ได้แสดงไว้ในผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ข้างต้นยังเหมือนกับประสบการณ์ที่พ่อแม่ผู้ทุกข์ร้อนจำนวนมากได้ประสบด้วยตนเองและกำลังหาความช่วยเหลืออยู่
“หลังจากสัปดาห์แรกที่ฝึก เค้าก็หลับได้ แต่หยุดพูดไปเลย (ลูกกำลังพูดเป็นคำ ๆ อยู่) ปีที่แล้ว ลูกไม่ยอมให้ดิฉันแตะต้องตัวเลย ถ้าเค้าเจ็บ เค้าก็จะไปให้พี่ชาย (วัยก่อนเรียน) ปลอบ ดิฉันรู้สึกเลวร้ายมากที่ทรยศลูก”
“ดิฉันใช้เวลา 5 ชั่วโมงในแต่ละคืน เข้าไปหาลูกทุก 5 นาที แล้วค่อย ๆ ทิ้งระยะเป็น 10 นาที 15 นาที แต่ลูกก็ไม่ยอมนอน ลูกอาเจียนหลายรอบจนเลือดออกจมูก ทั้ง ๆ ที่ง่วงมากแล้วแต่ก็ไม่ยอมนอน มันไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติเลยที่จะปล่อยให้ลูกร้องมากและนานขนาดนี้”
“ผ่านมาสองปีครึ่ง... ลูกของดิฉันกลายเป็นเด็กวัยเตาะแตะที่มีความไม่มั่นคง ขี้อิจฉาและก้าวร้าว แล้วยังมีอาการติดแม่อย่างรุนแรงและไม่ยอมนอนด้วย”
“เมื่อคืน ฉันตัดสินในผิดที่เชิญเพื่อน ๆ มาที่บ้าน เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบต่อลูก และลูกก็ร้องไห้อยู่ 52 นาที ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ ที่ปล่อยให้ลูกร้อง ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าคิดถูก ลูกอารณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ลูกหงุดหงิดกว่าปกติมาก เค้ากำลังจะครบ 6 เดือนในอีกไม่กี่วันนี้ แล้วก็มีอาการเรียกร้องมาก ดูเศร้า ๆ แล้วก็อารมณ์ร้าย ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย นี่ฉันทำให้ลูกบอบช้ำทางใจรึเปล่านะ”
ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการฝึกนอนเองดูเหมือนจะได้รับการรับรองด้วยหลักฐานที่มากมายมหาศาลในชีวิตจริง ความไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นและมีเสียงที่ดังขึ้น เช่น สมาคมเพื่อสุขภาพใจของเด็กประเทศออสเตรเลียได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรใช้วิธีฝึกนอนเอง “การปล่อยให้ร้องแบบค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทารกต้องการเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่เหมาะสม และอาจส่งผลลบตามมาได้” [8] ศาสตราจารย์เจมส์ แมคเคนนา ผู้อำนวยการศูนย์พฤติกรรมการนอนของแม่และเด็ก มหาวิทยาลัยโนตเตอระดาม ถึงขั้นเรียกการฝึกนอนเองว่า “เป็นความเชื่อของสังคมที่แอบอ้างชื่อของวิทยาศาสตร์ [9]
การให้ความสนใจต่อเด็กเป็นหลักอาจไม่สะดวกนักสำหรับพ่อแม่ เด็กร้องตอนกลางคืนเป็นเรื่องธรรมชาติ และสัญชาติญาณของแม่ก็จะต้องตอบสนองต่อความต้องการของลูก แม้จะหมายถึงการไม่ได้หลับไม่ได้นอนและความเหนื่อยล้า ไม่มีพ่อแม่ที่ใส่ใจคนไหนจะอยากเสี่ยงกับสุขภาพของเด็กด้วยการเชื่อคำของคนที่ไม่ได้มีใบอนุญาตทางการแพทย์ พ่อแม่จึงไม่ควรเชื่อคำแนะนำของนักฝึกนอนที่ไม่มีคำห้อยท้ายอย่างหูหนวกตาบอด เพราะนั่นหมายความว่าเป็นการเอาสภาพทางจิตของลูกมาเสี่ยง
ดูรายละเอียดเอกสารอ้างอิงได้จากข้อความต้นฉบับ
http://spoiledmum.com/to-sleep-train-or-not-to-sleep-train/
#ฝึกลูกนอนเองดีหรือไม่ #นอนกับลูก #ให้ลูกนอนเอง #ให้ลูกนอนแยกเตียง
No comments:
Post a Comment